Category: ไม่มีหมวดหมู่

หากคุณมีโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุด คุณจะรู้สึกสบายใจจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ เมื่อท่องเว็บ, เปิดอีเมล หรือใช้งานบนออนไลน์  ดังนั้น จึงไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การค้นหาว่าควรลงทุนในโปรแกรมสแกนไวรัสฟรีตัวไหนดี

ไม่ว่าจะเป็น TotalAV ไปจนถึง McAfee, Norton และ Avast เราจะรีวิวโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดแบบเชิงลึก เพื่อช่วยให้คุณค้นหาโปรแกรมที่เหมาะกับความต้องการและงบประมาณของคุณมากที่สุด อ่านต่อเพื่อเรียนรู้ว่าเครื่องมือเหล่านี้สามารถปกป้องคุณจากไวรัสที่เป็นอันตรายได้อย่างไร

15 โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดที่ดีที่สุด ปี 2023

เราได้ทดสอบโปรแกรมสแกนไวรัสหลายสิบโปรแกรม เพื่อดูว่าโปรแกรมเหล่านั้นมีประสิทธิภาพเพียงใดในการทำลายมัลแวร์ และจากการศึกษาของเรา นี่คือ 15 โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุด ในปี 2023

1. TotalAV — โปรแกรมสแกนไวรัสโดยรวมที่ดีที่สุดในปี 2023
2. Norton — ผู้ให้บริการโปรแกรมต้านไวรัสที่เชื่อถือได้
3. Nord Threat Protection — โปรแกรมสแกนไวรัสอันไหนดี ที่มีเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 5,000 เครื่อง
4. Surfshark One — anti virus ตัวไหนดีที่มี VPN พร้อมโปรแกรมรักษาความปลอดภัยข้อมูล
5. McAfee Antivirus Plus— โปรแกรมป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ยอดเยี่ยมและปลอดภัย
6. Avast  — แอพล้างไวรัสฟรีที่ดีที่สุดในตลาด
7. Kaspersky — โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวและธุรกิจ
8. Avira — หนึ่งในเครื่องมือโปรแกรมสแกนไวรัสฟรีที่ดีที่สุด
9. Intego — โปรแกรมต้านไวรัสที่ดีที่สุดสำหรับ Mac
10. ESET  —  โปรแกรมสแกนไวรัส windows 10 ที่ดีที่สุด
11. HouseCall — โปรแกรมสแกนไวรัส อันไหนดีที่ใช้งานบนคลาวด์ได้ดีที่สุด
12. Quick Heal — โปรแกรม anti virus ตัวไหนดีที่ราคาประหยัดที่สุด
13. ZoneAlarm — โปรแกรมสแกนไวรัสฟรีถาวรสำหรับ Windows 
14. Stinger — โปรแกรมสแกนมัลแวร์ฟรีจาก McAfee
15. BitDefender — โปรแกรมต้านไวรัสยอดนิยมสำหรับคนในครอบครัว

รีวิวโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดในปี 2023 

หากต้องการทราบว่า 15 อันดับแรกของโปรแกรมป้องกันไวรัส มีอะไรบ้างในปี 2023? เราได้รวบรวมรีวิวโดยละเอียดเพื่อช่วยให้คุณได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบป้องกันไวรัส และตัดสินใจโหลดโปรแกรมสแกนไวรัสที่เหมาะกับความต้องการของคุณ

1. TotalAV — โปรแกรมสแกนไวรัสโดยรวมที่ดีที่สุดในปี 2023

การมีประสิทธิภาพตรวจจับมัลแวร์ที่เหนือกว่าคู่แข่ง เป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ เหตุผลที่ทำให้ TotalAV ได้รับการจัดอันดับเป็นโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดของเรา สิ่งนี้ทำให้มีฐานผู้ใช้งานกว่า 30 ล้านคน และได้รับความนิยมสูงมาโดยตลอด

TotalAV รับประกันความปลอดภัยทุกรูปแบบ และไม่มีโฆษณาให้น่ารำคาญใจ รวมถึงมีวิธีการล้างไฟล์ขยะ และเพิ่มประสิทธิภาพอุปกรณ์ให้ราบรื่นและปลอดภัยด้วย

โปรแกรมนี้ช่วยให้คุณสามารถปกป้องอุปกรณ์ทั้งหมดจากมัลแวร์และไวรัส และมีเครื่องมืออีกมากมายที่สนับสนุนความปลอดภัย

ผู้ใช้งาน TotalAV จะได้รับการป้องกันก่อนอันตรายจะมา โดยโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดนี้ จะสแกนเว็บไซต์, ดาวน์โหลด และปฏิบัติการโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ

ในกรณีที่อุปกรณ์ติดไวรัส TotalAV จะกำจัดรหัสที่เป็นอันตราย แพลตฟอร์มมีกำหนดเวลาการสแกนบนฮาร์ดไดรฟ์หรือโฟลเดอร์ที่เลือก เช่น โฟลเดอร์ดาวน์โหลด หรือผู้ใช้งานสามารถสแกนไวรัสด้วยตนเองได้ทุกเมื่อ หากสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติ

อีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบเกี่ยวกับ TotalAV คือ การตรวจสอบการละเมิดข้อมูลและตัวบล็อกโฆษณา ที่สามารถป้องกันไม่ให้คุกกี้ถูกจัดเก็บในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้งานได้ โปรแกรมยังมีตัวเลือก VPN และตัวจัดการรหัสผ่าน สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการแนวทางการรักษาความปลอดภัยทางดิจิทัลแบบองค์รวมมากขึ้น

TotalAV มีค่าบริการเริ่มต้นเพียง 29 ดอลลาร์ในปีแรก แต่จะเพิ่มขึ้นเป็น 119 ดอลลาร์เมื่อต่ออายุแพ็คเกจ Antivirus Pro ที่รองรับอุปกรณ์ได้สูงสุด 3 เครื่อง ในขณะที่แพ็คเกจ Total Security (179 ดอลลาร์ต่อปี) จะรองรับอุปกรณ์ได้สูงสุดถึง 6 เครื่อง

ข้อดี:

• สแกนไวรัสจากการดาวน์โหลดและสแกนไฟล์ข้อมูล
• สแกนไวรัสตามกำหนดเวลา
• รองรับอุปกรณ์ 3-6 เครื่อง
• ตัวเลือก VPN และตัวจัดการรหัสผ่าน
• ราคาไม่แพง

ข้อเสีย:

• ไม่มีเวอร์ชันฟรี

ราคา

ค่าใช้จ่ายแผนทั่วไปของ TotalAV มีราคาอยู่ที่ 29 ดอลลาร์ในปีแรกและ 119ดอลลาร์ในปีต่อไป โดยใช้ได้สูงสุด 3 เครื่อง และเป็นหนึ่งในโปรแกรมสแกนไวรัสที่มีราคาสมเหตุสมผลที่สุดในตลาด

อย่างไรก็ตาม ราคานี้ยังไม่รวม VPN และจำกัดอุปกรณ์แค่ 3 เครื่อง หากต้องการเพิ่มจำนวนและเพิ่มการเข้าถึง VPN ได้ ลองพิจารณาแผน Antivirus และ Internet Security ของ TotalAV เพิ่มเติม

คุณสามารถลองใช้ TotalAV โดยไม่มีความเสี่ยง ภายใต้การรับประกันการคืนเงินภายใน 30 วัน

ไปยัง TotalAV ตอนนี้

2. Norton — ผู้ให้บริการโปรแกรมต้านไวรัสที่เชื่อถือได้

Norton เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดในด้านการรักษาความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่บริษัทนี้จะติด 3 อันดับแรกของเรา โปรแกรมต้านไวรัสของ Norton รวมทุกอย่างที่ผู้ใช้งานต้องการ เพื่อรักษาอุปกรณ์ให้ปลอดภัย รวมถึงการสแกนแบบเรียลไทม์, การสแกนตามกำหนดเวลา, ตัวจัดการรหัสผ่าน และอื่น ๆ

จุดเด่นของ Norton AntiVirus คือไฟร์วอลล์ ที่ทำหน้าที่พิเศษในการป้องกันมัลแวร์ และใช้ระบบเรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อระบุภัยคุกคามที่ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูล

นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่าเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งาน สามารถกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดมากขึ้นหรือน้อยลง ภายใต้เงื่อนไขที่แตกต่างกันได้

สิ่งที่โดดเด่นเกี่ยวกับโปรแกรมต้านไวรัสนี้ คือ มีการสำรองข้อมูลสำคัญบนคลาวด์ถึง 2GB สำหรับแผนทั่วไป แต่หากเป็นผู้ใช้งาน Norton 360 ที่มี Select + LifeLock จะเก็บข้อมูลบนคลาวด์ได้ถึง 100GB

แผนระดับสูงของ Norton ยังมี VPN ที่ปลอดภัย และระบบตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลบนเว็บมืด และการป้องกันสปายแวร์

ฟีเจอร์เหล่านี้ทำให้ Norton กลายเป็นหนึ่งในโปรแกรมป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้งานส่วนใหญ่ และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสุดยอดโปรแกรมสแกนไวรัสในแคนาดา และเป็นหนึ่งในโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดในสหราชอาณาจักร

ข้อเสียเปรียบเพียงอย่างเดียว คือ ราคาที่แพง โดยแผน Norton AntiVirus Plus แบบทั่วไปมีราคา 19.99 ดอลลาร์สำหรับปีแรก และเพิ่มขึ้นเป็น 59.99 ดอลลาร์เมื่อต่ออายุ

แพ็คเกจทั่วไปรองรับอุปกรณ์ได้เครื่องเดียวเท่านั้น แต่แพ็คเกจ Norton 360 Deluxe จะรองรับอุปกรณ์ Windows, Mac, iOS และ Android ได้สูงสุด 5 เครื่อง โดยมีค่าใช้จ่าย 104.99 ดอลลาร์ต่อปี (49.99 ดอลลาร์สำหรับปีแรก) นอกจากนี้ Norton ยังนำเสนอโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดสำหรับ Kindle Fire ในปี 2023

ข้อดี:

• ไฟร์วอลล์พร้อมระบบเรียนรู้ด้วยตัวเอง
• สำรองข้อมูลบนคลาวด์
• มี VPN และการตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูล
• มีตัวจัดการรหัสผ่าน
• สแกนมัลแวร์ได้ตลอดเวลา

ข้อเสีย:

• ราคาแพงหากต้องการใช้กับอุปกรณ์หลายเครื่อง

ราคา

แผน Antivirus Plus เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มองหาการป้องกันในราคาย่อมเยา ที่มีค่าใช้จ่าย 19.99 ดอลลาร์ในปีแรก และต่ออายุที่ 59.99ดอลลาร์/ปี พร้อมตัวเลือกการสำรองข้อมูลบนคลาวด์ 2GB, ระบบป้องกันภัยคุกคามทางดิจิทัล และตัวจัดการรหัสผ่าน

แต่ถ้าคุณต้องการใช้กับอุปกรณ์มากกว่าหนึ่งเครื่อง อาจต้องพิจารณาแผนอื่น ๆ เช่น แผน Select + LifeLock ซึ่งรวม VPN และระบบตรวจสอบเว็บมืดด้วย

Norton ให้ทดลองใช้งานได้ฟรี 7 วัน และรับประกันคืนเงินภายใน 60 วัน ดังนั้น คุณจึงสามารถทดลองใช้งานได้โดยไม่มีความเสี่ยง และพิจารณาดูว่าโปรแกรมสแกนไวรัสอันไหนดีที่สุด

ไปยัง Norton ตอนนี้

3. Nord Threat Protection — โปรแกรมสแกนไวรัสอันไหนดี ที่มีเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 5,000 เครื่อง

Nord Threat Protection เป็นฟีเจอร์เสริมสำหรับสมาชิก Nord VPN และช่วยปรับปรุงบริการ VPN ให้ดีขึ้น

สิ่งที่ทำให้ Nord Threat Protection เป็นโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดก็คือ ความง่ายดายในการติดตั้ง ส่วนการเปิดใช้งานก็ทำได้ง่ายเช่นกัน เพียงแค่คลิกปุ่ม “การตั้งค่า” 

ผู้ใช้งานบนพีซี ยังสามารถเข้าถึง Nord Threat Protection ได้อย่างง่ายดาย ด้วยการคลิกที่ไอคอน “โล่” ที่ด้านซ้ายของหน้าจอ

Nord Threat Protection จะสแกนไฟล์ที่ดาวน์โหลดทั้งหมดเพื่อหามัลแวร์ หากพบไฟล์ที่น่าสงสัย การดาวน์โหลดจะถูกยกเลิกทันที

นอกจากนี้ โปรแกรมยังสแกนเว็บไซต์ก่อนการเชื่อมต่อ หากตรวจพบเนื้อหาหรือกิจกรรมที่น่าสงสัยบนเว็บไซต์ การเชื่อมต่อจะถูกบล็อกและแสดงข้อความแจ้งเตือน

คุณยังสามารถได้รับประโยชน์จากตัวติดตามโฆษณา ที่จะคอยป้องกันโฆษณาที่ลิงก์ไปยังภัยคุกคามดิจิทัลที่เป็นอันตราย ทำให้การท่องเว็บปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม

ข้อดี:

• โปรแกรมป้องกันไวรัสยอดนิยมที่มีรีวิวเชิงบวกมากมาย
• มีบริการ VPN
• มีจำหน่ายทั่วโลก
• โปรแกรมสแกนไวรัสที่เร็วที่สุด
• ตัวติดตามโฆษณา

ข้อเสีย:

• ไม่มีตัวเลือกโปรแกรมสแกนไวรัสแยกต่างหาก

ราคา

Nord Threat Protection รวมอยู่ในการสมัครสมาชิก NordVPN ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลือก VPN ที่เหมาะสมที่สุด โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 4.19 ดอลลาร์/เดือน สำหรับแผน 2 ปี และใช้งานฟรีอีก 3 เดือน

หากต้องการเข้าถึงฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ระบบสแกนการละเมิดข้อมูลและตัวจัดการรหัสผ่าน ให้พิจารณาแผน Nord Complete ทั้ง NordVPN และ Nord Threat Protection มาพร้อมกับการรับประกันเงินคืนภายใน 30 วัน ดังนั้น คุณจึงสามารถทดลองใช้ได้โดยไม่มีความเสี่ยง หากคุณไม่พอใจในบริการ สามารถขอรับเงินคืนเต็มจำนวนได้

ไปยัง Nord Threat Protection ตอนนี้

4. Surfshark One — anti virus ตัวไหนดีที่มี VPN พร้อมโปรแกรมรักษาความปลอดภัยข้อมูล

Surfshark One เป็นแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร ที่มีโปรแกรมสแกนไวรัส, VPN และโปรแกรมสแกนการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลบนออนไลน์

ด้วยเหตุนี้ จึงครอบคลุมสำหรับทุกคนที่ต้องการยกระดับความปลอดภัยทางดิจิทัล โดยไม่ต้องใช้ผู้ให้บริการหลาย ๆ ราย

โปรแกรมสแกนไวรัสของ Surfshark One แข่งขันกับโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดอื่น ๆ ได้ เพราะมีทั้งการสแกนไฟล์ดาวน์โหลดและไฟล์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ รวมถึงความสามารถในการบล็อกเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายก่อนการโหลด

โปรแกรมนี้ยังสามารถสแกนตามกำหนดเวลาหรือตามความต้องการ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถตั้งเวลาสแกนที่ความถี่ต่าง ๆ ได้

สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจหาไวรัสบ่อยเพียงใดก็ได้ และทราบการประมวลผลของ Surfshark One ว่ามากน้อยเพียงใด

VPN ของ Surfshark One ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในบริการ VPN ที่ดีที่สุดในปี 2023 อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีตัวจัดการรหัสผ่าน ซึ่งอาจมีให้ใช้ฟรีหรือเป็นตัวเลือกอัปเกรดในโปรแกรมป้องกันไวรัสอื่น ๆ 

Surfshark One มีค่าบริการ 95.52 ดอลลาร์ต่อเดือน แต่ราคาแรกเข้าสำหรับลูกค้าใหม่อยู่ที่ 59.76 ดอลลาร์ และใช้งานได้นานถึง 26 เดือน

ข้อดี:

• มี VPN และโปรแกรมสแกนการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล
• กำหนดเวลาการสแกนได้ตามต้องการ
• ช่วยบล็อกเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย และมีเครื่องมือติดตามโฆษณา
• รองรับการสแกนไวรัสบนอุปกรณ์ได้ไม่จำกัด

ข้อเสีย:

• ไม่มีตัวจัดการรหัสผ่าน
• ไม่สามารถซื้อโปรแกรมสแกนไวรัสแยกต่างหากได้

ราคา

Surfshark เป็นโปรแกรมที่มีราคาไม่แพง โดยถ้าใช้แผน 24 เดือน + ฟรี 2 เดือน จะมีราคาเพียง 2.49 ดอลลาร์/เดือนเท่านั้น

หากคุณต้องการแผนระยะสั้น แผนรายปีมีราคาอยู่ที่ 3.99 ดอลลาร์/เดือน และสิ่งที่ดีที่สุด ก็คือ คุณสามารถทดลองใช้งานได้โดยไม่มีความเสี่ยง และรับประกันเงินคืนภายใน 30 วัน

ไปยัง Surfshark One ตอนนี้

5. McAfee Antivirus Plus — โปรแกรมป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ยอดเยี่ยมและปลอดภัย

McAfee เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่น่าเชื่อถือในด้านการต้านไวรัส และโปรแกรม Antivirus Plus ให้การป้องกันทั้ง Windows, Mac, iOS และ Android

ผู้ใช้งานโปรแกรม Antivirus Plus สามารถติดตั้งโปรแกรมได้บนอุปกรณ์สูงสุด 5 เครื่อง ในแผนประกอบด้วย การพิสูจน์ตัวตน, ตัวจัดการรหัสผ่าน และ VPN ที่ปลอดภัย ทำให้เป็นหนึ่งในโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดที่ช่วยรักษาความปลอดภัยรอบด้าน

สิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับ McAfee Antivirus Plus คือ คะแนน proprietary protection หรือคะแนนความปลอดภัยของอุปกรณ์ ตามการตั้งค่า, ระยะเวลาที่สแกนครั้งล่าสุด และอื่น ๆ

คะแนนและเคล็ดลับการเพิ่มคะแนน เป็นวิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจว่า อุปกรณ์ของตนมีความเสี่ยงหรือไม่? และควรปฏิบัติอย่างไร ? แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็ตาม

เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ McAfee Antivirus Plus ยังมีตัวทำลายไฟล์ดิจิทัล ทำให้มั่นใจได้ว่า ข้อมูลของคุณจะไม่ถูกขโมย แม้ว่าอุปกรณ์และฮาร์ดไดรฟ์จะตกอยู่ในมือของผู้อื่นก็ตาม

McAfee Antivirus Plus มีค่าบริการ 39.99 ดอลลาร์สำหรับปีแรก และ 109.99 ดอลลาร์ต่อปีเมื่อต่ออายุ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีการรับประกันเงินคืนภายใน 30 วันและระบบสนับสนุนลูกค้าจาก McAfee ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน 

ข้อดี:

• มี VPN และตัวจัดการรหัสผ่าน
• คะแนนการป้องกันพร้อมเคล็ดลับความปลอดภัยส่วนบุคคล
• มีระบบทำลายไฟล์ดิจิทัล
• สนับสนุนลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน

ข้อเสีย:

• ราคาแพง

ไปยัง McAfee ตอนนี้

6. Avast — แอพล้างไวรัสฟรีที่ดีที่สุดในตลาด

Avast เป็นหนึ่งในโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดของเรา ด้วยเหตุผลง่าย ๆ นั่นคือการบริการฟรีที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นเหนือคู่แข่งในตลาด สิ่งนี้เกิดจากประสบการณ์ที่นานหลายทศวรรษ ในการจัดหาและกำจัดภัยคุกคาม เพื่อผู้ใช้งานกว่า 435 ล้านคนทั่วโลก

Avast มีบริการฟรี ดังนี้:

• ระบบการสแกนอัจฉริยะ เพื่อตรวจจับและกำจัดไฟล์ที่มีความเสี่ยง
• ระบบแจ้งเตือนพฤติกรรมที่น่าสงสัย
• ระบบป้องกันภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น 

และอื่น ๆ — ทั้งหมดนี้ทำให้ Avast มีความปลอดภัยสูง แม้จะเป็นโปรแกรมสแกนไวรัสฟรี นอกจากนี้ ยังมีการป้องกัน ransomware และระบบแจ้งเตือนเมื่อข้อมูล เช่น รหัสผ่าน รั่วไหล 

Avast ยังสามารถเร่งความเร็วของอุปกรณ์ด้วยการจัดระเบียบข้อมูลดังนั้น ถ้าอยากหาโปรแกรมสแกนไวรัสฟรีตัวไหนดี ต้องเลือก Avast เลย

คุณสามารถทดลองใช้ฟรี และหากพอใจก็สามารถอัปเกรดเป็นแผนพรีเมี่ยม ที่เพิ่มการป้องกันอุปกรณ์มากกว่า 1 เครื่อง และยังเพิ่มความปลอดภัย (รวมถึง VPN และตัวจัดการรหัสผ่าน) ด้วยราคาเพียง 4.19 ดอลลาร์/เดือน

ข้อดี:

• มีความปลอดภัยแม้ใช้โปรแกรมฟรี
• การสมัครสมาชิกระดับพรีเมี่ยมราคาไม่แพง
• มี VPN และตัวจัดการรหัสผ่าน
• ชื่อเสียงดี

ข้อเสีย:

• ยอดใช้งานแผนฟรีสูง

ไปยัง Avast ตอนนี้

7. Kaspersky — โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวและธุรกิจ

ความสามารถในการป้องกันไวรัสของ Kaspersky นั้นน่าประทับใจไม่น้อย  เฉพาะปีที่แล้วเพียงปีเดียว สามารถกำจัดภัยคุกคามให้ลูกค้าได้เกือบ 800 ล้านรายการ

Kaspersky มีการวางแนวทางสำหรับลูกค้าครอบครัวและธุรกิจ ที่แตกต่างด้านความต้องการและงบประมาณ เพื่อช่วยให้ลูกค้าทุกคนได้รับการปกป้องทางออนไลน์ และหลีกเลี่ยงการถูกแฮกด้วยแรนซัมแวร์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจของคุณล้มละลายได้ หากข้อมูลความลับรั่วไหล

นอกจากนี้ โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดยังมีตัวเลือกในการป้องกันไวรัส ที่สามารถสแกนและล้างไวรัสใด ๆ ได้อย่างปลอดภัยในระดับพรีเมี่ยม และครอบคลุมอุปกรณ์ตั้งแต่ 1ถึง 1,000+ เครื่อง เพียงสมัครสมาชิก 1 ครั้ง

นอกจากนี้ Kaspersky ยังมีแอพควบคุมที่ดีที่สุด รวมถึง VPN และตัวจัดการรหัสผ่าน

โดยรวมแล้ว ไม่ว่าความต้องการของคุณจะเป็นอะไร Kaspersky มีคำตอบให้ทุกฟังก์ชันการใช้งาน และคอยรักษาความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้คุณอุ่นใจได้ว่า เครือข่าย, อุปกรณ์ และข้อมูลลับ จะได้รับการปกป้องตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน

โหลดโปรแกรมสแกนไวรัสวันนี้ แผนเริ่มต้นมีราคาอยู่ที่ 27.99 ดอลลาร์ต่อปีสำหรับอุปกรณ์ 3 เครื่อง ส่วนแผนพรีเมี่ยมจะมีราคาเพิ่มอีก 6 ดอลลาร์ แต่จะเพิ่มระบบ Parental Control และ VPN ไม่จำกัด

ข้อดี:

• ได้รางวัลเครื่องมือป้องกันไวรัสยอดเยี่ยม
• สมาชิกพรีเมี่ยม มี VPN และระบบ Parental Control
• การป้องกันแรนซัมแวร์ระดับแนวหน้า
• มีตัวเลือกการสมัครสมาชิกมากมาย
• มีแผนสำหรับครอบครัวและธุรกิจ
• แผนรายปีมีราคาที่แข่งขันได้

ข้อเสีย:

• มีปัญหาการสมัครสมาชิกซ้ำซ้อน

ไปยัง Kaspersky ตอนนี้

8. Avira — หนึ่งในเครื่องมือโปรแกรมสแกนไวรัสฟรีที่ดีที่สุด

Avira เป็นหนึ่งในเครื่องมือโปรแกรมสแกนไวรัสฟรีที่ดีที่สุดสำหรับ Mac, Windows และมือถือในปี 2023 แม้จะใช้งานฟรี แต่ก็มีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม รวมถึงการสแกนแบบเรียลไทม์ในขณะท่องเว็บหรือดาวน์โหลดไฟล์

นอกจากนี้ ยังสามารถหยุดเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย และตรวจจับแอปพลิเคชันที่อาจไม่ต้องการ (PUA) ที่ซ่อนอยู่ได้

โปรแกรมสแกนไวรัสฟรี ถาวรของ Avira ยังสามารถสแกนไวรัสตามกำหนดเวลาหรือสแกนด้วยตนเองเมื่อใดก็ได้ ซึ่งทำได้ใกล้เคียงกับโปรแกรมที่ต้องเสียเงินซื้อ แพลตฟอร์มนี้ใช้ AI เพื่อตรวจจับภัยคุกคาม นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลของภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านการอัปเดตของระบบคลาวด์ได้

สิ่งหนึ่งที่เราชอบเป็นพิเศษเกี่ยวกับ Avira คือ การเป็นโปรแกรมกินแรมน้อย และจะไม่เร่งความเร็วของอุปกรณ์ด้วยพลัง CPU จำนวนมาก ในการทดสอบของเรา เราแทบไม่เห็นว่า Avira ทำงานพื้นหลังในขณะที่เราท่องเว็บ ด้วยชุดฟีเจอร์ทั้งหมดนี้ ทำให้ Avira เป็นหนึ่งในโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดในสิงคโปร์

Avira มีโปรแกรมแบบเสียเงินเช่นกัน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ 44.99 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งจะช่วยให้คุณได้รับการปกป้องที่มากขึ้น จากการแฮกแบบที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน (zero-day), การล้วงข้อมูลลับด้วยวิธีทางสังคม (phishing attempts) และมัลแวร์ นอกจากนี้ ยังสามารถสแกนอีเมลใน Outlook, Gmail และอีเมลอื่น ๆ

ข้อดี:

• แผนฟรีที่มีการสแกนตามกำหนดเวลา
• ใช้พลังงานการประมวลผลน้อยมาก
• มี AI ช่วยระบุภัยคุกคามใหม่
• แผนที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มระบบการสแกนอีเมล

ข้อเสีย:

• เวอร์ชันฟรีมีโฆษณากวนใจ

ไปยัง Avira ตอนนี้

9. Intego — โปรแกรมต้านไวรัสที่ดีที่สุดสำหรับ Mac

Intego มีโปรแกรมต้านไวรัสที่ดีที่สุดสำหรับคอมพิวเตอร์ Mac ที่ใช้ได้กับอุปกรณ์ iOS และ iPad ด้วย แต่ก็เป็นโปรแกรมสแกนไวรัส windows 11 ได้เช่นกัน

โปรแกรมนี้รวมเอาฟีเจอร์ที่มีเฉพาะในโปรแกรมระดับไฮเอนด์เท่านั้น ซึ่งรวมถึงไฟร์วอลล์, การป้องกันเครือข่าย และการสำรองข้อมูลส่วนบุคคล

ไฟร์วอลล์ของ Intego เป็นหัวใจสำคัญของระบบนี้ เพราะจะช่วยสแกนไฟล์ที่มีมัลแวร์ที่รู้จัก ไม่ให้ดาวน์โหลดหรือติดตั้งลงในระบบคอมพิวเตอร์ของเราโดยอัตโนมัติ

ไฟร์วอลล์ทำงานแบบเรียลไทม์ เมื่อคุณเรียกดูเว็บ, เช็คอีเมล หรือถ่ายโอนไฟล์จากไดรฟ์ เช่น แฟลชไดรฟ์ USB

ส่วนการป้องกันเครือข่ายของ Intego มีไฟร์วอลล์ที่คล้ายกัน แต่ใช้สำหรับเครือข่าย WiFi ทั้งหมด

สิ่งที่โดดเด่นเกี่ยวกับฟีเจอร์นี้ คือ การตั้งค่าความปลอดภัยของไฟร์วอลล์ ที่จะปรับโดยอัตโนมัติขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้งานอยู่ที่บ้าน, ที่ทำงาน หรือกำลังเชื่อมต่อ WiFi สาธารณะ นอกจากนี้ ยังปรับแต่งได้ง่าย เพื่อใช้รับมือกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และสามารถปลดบล็อกเว็บไซต์ที่ต้องการได้

Intego ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดในอินเดีย ที่มีทั้งเครื่องมือทำความสะอาดดิสก์ ที่ช่วยเพิ่มความเร็วให้แก่ Mac รวมถึงเครื่องมือสำรองข้อมูลดิสก์ ที่สามารถใช้สร้างสำเนาของฮาร์ดไดรฟ์คอมพิวเตอร์ได้

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่ถูกแฮกด้วยมัลแวร์ ผู้ใช้งานยังสามารถกู้คืนข้อมูลสำรองนี้ได้ โดย Intego มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 69.99 ดอลลาร์ต่อปีสำหรับคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง และใช้กับอุปกรณ์มือถือ iOS ได้ไม่จำกัดจำนวน

ข้อดี:

• ไฟร์วอลล์ขั้นสูงและปรับแต่งได้
• ระบบป้องกัน WiFi ที่ไม่ปลอดภัย
• เครื่องมือสำรองดิสก์
• รองรับอุปกรณ์ iOS

ข้อเสีย:

• ราคาแพงสำหรับการใช้ในคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง

ไปยัง Intego ตอนนี้

10. ESET — โปรแกรมสแกนไวรัส windows 10 ที่ดีที่สุด

ESET เป็นโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดสำหรับ Windows 10 ในปี 2023 เนื่อจากช่วยป้องกันไวรัสให้แก่อุปกรณ์ Windows ได้อย่างดี

ESET สามารถสแกนแบบเรียลไทม์บนคลาวด์ โดยไม่ใช้พื้นที่บน Windows ได้

แพลตฟอร์มนี้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เพื่อระบุภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูล ทำให้ป้องกันได้แม้กระทั่งการแฮกแบบ zero-day 

อีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบเกี่ยวกับโปรแกรมต้านไวรัสของ ESET คือ มีการป้องกันการหลอกลวงบนออนไลน์ (phishing) และแรนซัมแวร์ ที่ช่วยสแกนอีเมลแบบอัตโนมัติ และแจ้งเตือนเมื่อมีลิงก์ที่น่าสงสัย

อีกหนึ่งสิ่งที่ดี คือ การเป็นโปรแกรม anti virus ตัวไหนดีที่ใช้งานง่ายมาก ที่สามารถสแกนแบบเรียลไทม์ และสแกนตามกำหนดเวลาได้ในคลิกเดียว

แพลตฟอร์มยังมีการตั้งค่าเชิงลึก สำหรับผู้ใช้งานขั้นสูงที่ต้องการควบคุมการป้องกันไวรัสให้มากขึ้น ทำให้เราเชื่อว่า นี่เป็นโปรแกรมสแกนไวรัส windows 10 ที่ดีที่สุดในขณะนี้

ESET ไม่มีตัวจัดการรหัสผ่านหรือ VPN สำหรับ Windows แต่ก็ถือว่าสมกับราคาที่ย่อมเยา ที่มีค่าใช้จ่ายเพียง 39.99 ดอลลาร์ต่อปี สำหรับคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง 

ทั้งนี้ บริษัทมีส่วนลดสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการปกป้องอุปกรณ์หลายเครื่อง (รวมถึงอุปกรณ์ Mac, iOS และ Android) หรือผู้ที่ต้องการใช้งานหลายปี

ข้อดี:

• สแกนมัลแวร์แบบเรียลไทม์ในระบบคลาวด์
• การป้องกันฟิชชิงและแรนซัมแวร์
• ใช้งานและปรับแต่งง่าย
• ราคาเหมาะสม

ข้อเสีย:

• ไม่มีตัวจัดการรหัสผ่านหรือ VPN

ไปยัง ESET ตอนนี้

11. HouseCall — โปรแกรมสแกนไวรัส อันไหนดีที่ใช้งานบนคลาวด์ได้ดีที่สุด

HouseCall เป็นหนึ่งในเครื่องมือโปรแกรมสแกนไวรัสฟรีที่ดีที่สุดหากคุณคิดว่าคอมพิวเตอร์ของคุณติดไวรัส ไม่ว่าจะเป็น Windows หรือ Mac ก็สามารถใช้โปรแกรม HouseCall ได้

แม้จะไม่มีการสแกนมัลแวร์แบบเรียลไทม์หรือไฟร์วอลล์ แต่โปรแกรมนี้จะมุ่งเน้นการล้างมัลแวร์ที่ติดในระบบเท่านั้น

ข้อดีอย่างหนึ่งของ HouseCall คือ การใช้งานง่าย เพียงแค่เปิดโปรแกรมและกดสแกนเท่านั้น HouseCall ก็จะทำการค้นหาไฟล์ที่น่าสงสัยและมัลแวร์ให้

การสแกนใช้เวลารวดเร็ว และสามารถปรับแต่งเพื่อค้นหาโฟลเดอร์ที่ต้องการได้

HouseCall ยังมีเครื่องมือฟรีสำหรับประเมินเครือข่าย เพื่อดูว่าการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ จะทำให้มัลแวร์แพร่กระจายได้หรือไม่ นี่จึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้งาน เพื่อใช้ประเมินความปลอดภัยของอุปกรณ์แต่ละเครื่อง รวมถึงอุปกรณ์ ทั้งหมดในบ้านด้วย

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดที่ใช้งานฟรี HouseCall จึงไม่มีระบบแจ้งเตือนมากนัก และยังไม่มี VPN หรือตัวจัดการรหัสผ่าน ดังนั้น ควรใช้ HouseCall เป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่ออุปกรณ์กลับสู่สภาวะปกติแล้ว

ข้อดี:

• สแกนและกำจัดมัลแวร์ฟรี
• สแกนรวดเร็ว ปรับแต่งได้
• ระบบประเมินเครือข่ายภายในบ้าน
• ทำงานได้บนคอมพิวเตอร์ Mac และ Windows

ข้อเสีย:

• ไม่มีการตรวจสอบแบบเรียลไทม์
• ใช้กับอุปกรณ์พกพาไม่ได้

ไปยัง HouseCall ตอนนี้

12. Quick Heal — โปรแกรม anti virus ตัวไหนดีที่ราคาประหยัดที่สุด

โปรแกรม anti virus ตัวไหนดีที่ราคาประหยัดที่สุดในปี 2023 ก็ต้อง Quick Heal เลย ดังนั้น จึงเหมาะกับผู้ใช้งานที่มีงบประมาณจำกัด ด้วยราคาเพียง 30 ดอลลาร์ต่อปีสำหรับคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง และถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการป้องกันมัลแวร์จากคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows

Quick Heal เป็นโปรแกรมสแกนไวรัส windows 11 หรือ windows อื่น ๆ เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับอุปกรณ์ Mac, iOS หรือ Android ได้

แม้จะมีราคาต่ำ แต่ Quick Heal ก็มีทุกสิ่งที่ควรมี เช่น การตรวจสอบการดาวน์โหลดและการติดตั้งแบบเรียลไทม์ เพื่อป้องกันไม่ให้มัลแวร์ฝังตัวในคอมพิวเตอร์

นอกจากนี้ ยังมีไฟร์วอลล์ที่สามารถหยุดมัลแวร์จากการเข้าสู่คอมพิวเตอร์ผ่านแฟลชไดรฟ์ USB หรือฮาร์ดไดรฟ์ภายนอกได้ด้วย

Quick Heal ยังสามารถสแกนตามกำหนดเวลาและการสแกนด้วยตนเอง พร้อมตัวเลือกการปรับแต่งมากมาย รวมถึงระบบดักจับสปายแวร์, แรนซัมแวร์ และอื่น ๆ ก่อนที่จะสร้างความเสียหาย

อีกอย่างที่เราชอบสำหรับโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดตัวนี้ คือ การกู้คืนการตั้งค่าหลังจากที่ถูกแก้ไขโดยมัลแวร์ ซึ่งช่วยให้แน่ใจว่า อุปกรณ์จะไม่ไวต่อการติดไวรัสครั้งที่สอง

เป็นที่น่าสังเกตว่า Quick Heal มีโปรแกรมสแกนไวรัสรุ่นอัปเกรดหลายรุ่น โดยราคาที่แพงที่สุดเพียงแค่ 50 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งจะได้ทั้งเครื่องมือเพิ่มความเร็วพีซี, parental control และการป้องกันเว็บแคม

ข้อดี:

• ราคาไม่แพง
• ป้องกันมัลแวร์ในไดรฟ์ภายนอก
• กู้คืนการตั้งค่าอุปกรณ์โดยอัตโนมัติ
• รองรับการสแกนแบบกำหนดเอง

ข้อเสีย:

• ใช้ได้เฉพาะ Windows เท่านั้น
• ไม่มีส่วนลดสำหรับคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง

ไปยัง Quick Heal ตอนนี้

13. ZoneAlarm — โปรแกรมสแกนไวรัสฟรีถาวรสำหรับ Windows

ZoneAlarm หนึ่งในโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดที่มีทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงินสำหรับ Windows ถ้าเป็นแบบฟรีจะมีระบบการรักษาความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน รวมถึงไฟร์วอลล์ และการสแกนตามกำหนดเวลาหรือสแกนด้วยตนเองสำหรับคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง

อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันฟรีไม่มีการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ซึ่งหากผู้ใช้งานต้องการต้องอัปเกรดเป็น ZoneAlarm Pro Antivirus + Firewall ซึ่งมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 35.95 ดอลลาร์ต่อปี สำหรับคอมพิวเตอร์ 5 เครื่อง

โปรแกรมนี้สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลที่ครอบคลุมของมัลแวร์และภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ รวมถึงการป้องกันฟิชชิ่งและ PUA นอกจากนี้ ยังสามารถบล็อกเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายโดยอัตโนมัติ ตามที่ทีมของ ZoneAlarm ตรวจสอบ

ฟีเจอร์ที่ดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งของ ZoneAlarm คือ โปรแกรมสามารถรันไฟล์สั่งการและไฟล์ดาวน์โหลดอื่น ๆ ในสภาวะเสมือนจริง ก่อนที่จะส่งถึงคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานได้

สิ่งนี้ทำให้ ZoneAlarm เห็นว่ามีไฟล์แปลกปลอมหรือไม่ และจะบล็อกไฟล์ใด ๆ ที่มีมัลแวร์ซ่อนอยู่ ซึ่งเครื่องมือสแกนอาจตรวจไม่พบ

ZoneAlarm ใช้ได้กับอุปกรณ์พกพาทั้ง iOS และ Android แต่ต้องเลือกแผน Extreme Security NextGen ในราคา 44.95 ดอลลาร์ต่อปี แต่ก็เป็นโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดสำหรับโทรศัพท์ 

ข้อดี:

• ไฟร์วอลล์ฟรี
• บล็อกเว็บไซต์อัตโนมัติ
• ทดสอบโปรแกรมในสภาวะเสมือนจริง
• ใช้ในมือถือได้

ข้อเสีย:

• ไม่กับคอมพิวเตอร์ Mac ไม่ได้
• การตรวจสอบแบบเรียลไทม์ต้องสมัครแบบเสียเงิน

ไปยัง ZoneAlarm ตอนนี้

14. Stinger — โปรแกรมสแกนมัลแวร์ฟรีจาก McAfee

Stinger เป็นโปรแกรมสแกนมัลแวร์ฟรีจาก McAfee แม้ไม่ใช่โปรแกรม anti virus ที่ครอบคลุมเหมือน McAfee Antivirus Plus แต่ก็มีระบบสแกนไวรัสที่ใช้ฐานข้อมูลที่ครอบคลุมของ McAfee

Stinger สามารถสแกนไวรัสด้วยตนเองได้เท่านั้น แต่ไม่มีการตรวจสอบแบบเรียลไทม์หรือการสแกนตามกำหนดเวลาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การสแกนด้วยตนเองสามารถปรับแต่งค่า เพื่อค้นหาภัยคุกคามหรือตรวจบางโฟลเดอร์ได้

ผู้ใช้งานยังสามารถเพิ่มแท็กไฟล์มัลแวร์ที่กำหนดเองใน Stinger เพื่อให้โปรแกรมค้นหาและกำจัดเมื่อพบ ซึ่งทำให้เราเลือก Stinger ให้เป็นหนึ่งในโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุด

Stinger ใช้งานได้กับคอมพิวเตอร์ระบบ Windows เท่านั้น แต่ยังไม่ใช่โปรแกรมสแกนไวรัส windows 11 ในตอนนี้

ข้อดี:

• สแกนไวรัสฟรี
• ปรับแต่งการสแกนได้
• กำหนดการค้นหามัลแวร์เพิ่มเติมได้

ข้อเสีย:

• ใช้ได้เฉพาะ Windows และยังไม่รองรับ Windows 11
• ฟีเจอร์น้อยมาก

15. BitDefender — โปรแกรมต้านไวรัสยอดนิยมสำหรับคนในครอบครัว

BitDefender เป็นหนึ่งในโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวที่มีอุปกรณ์จำนวนมาก เพราะรองรับอุปกรณ์ได้สูงสุด 10 เครื่อง ในราคาเพียง 159.99 ดอลลาร์ต่อปี และปีแรกจ่ายเพียง 69.98 ดอลลาร์

BitDefender ใช้กับ Windows, Mac, iOS และ Android ได้ ดังนั้น จึงเหมาะกับการใช้งานในครอบครัว แม้ว่าทุกคนจะมีอุปกรณ์ต่างกัน

BitDefender ป้องกันไวรัสและมัลแวร์ได้อย่างยอดเยี่ยม และใช้พื้นที่ใน CPU เพียงเล็กน้อย โปรแกรมมีการสแกนแบบเรียลไทม์ในระบบคลาวด์ เพื่อลดผลกระทบต่อคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งาน

นอกจากนี้ ยังมีการประเมินช่องโหว่ เพื่อแนะนำผู้ใช้งานเกี่ยวกับการตั้งค่าที่จำเป็นสำหรับการปกป้องอุปกรณ์ให้เหมาะสมที่สุดด้วย

โปรแกรมนี้ยังมีฟีเจอร์ป้องกันไวรัสที่ช่วยในเรื่องความเป็นส่วนตัว รองรับ parental controls, การตรวจสอบเว็บแคมและไมโครโฟน และการเข้าถึงระยะไกล เพื่อล็อคข้อมูลในกรณีอุปกรณ์ถูกแฮก

นอกจากนี้ ยังมีตัวทำลายไฟล์ดิจิทัลและกระเป๋าเงินดิจิทัล สำหรับการชำระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

BitDefender เป็นมากกว่าโปรแกรมแอนตี้ไวรัส เพราะยังมี VPN และตัวจัดการรหัสผ่าน และผู้ใช้งานยังสามารถอัปเกรด เพื่อรับการป้องกันการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว และการตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลบนเว็บมืดได้ด้วย

ข้อดี:

• รองรับอุปกรณ์สูงสุด 10 เครื่อง
• มี VPN และตัวจัดการรหัสผ่าน
• ประสิทธิภาพสูง
• รองรับ parental control และการล็อคข้อมูลระยะไกล

ข้อเสีย:

• ราคาแพงหากใช้กับอุปกรณ์น้อยกว่า 10 เครื่อง
• ไม่ได้ผลกับแรนซัมแวร์เสมอไป

เปรียบเทียบโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุด

บางครั้งการดูการเปรียบเทียบแบบตัวต่อตัวอาจทำให้ตัวเลือกของคุณแคบลงได้ง่ายขึ้น ที่นี่ เราได้รวบรวมตารางข้อมูลสำคัญเพื่อช่วยคุณเปรียบเทียบโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดในตลาด:

โปรแกรมสแกนไวรัส คืออะไร?

โปรแกรมสแกนไวรัส เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้มัลแวร์และไวรัสติดคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งาน และกำจัดไวรัสที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของวิธีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดของปี 2023 มีแนวทาง 2-3 ประเด็นที่ต้องพิจารณาการดูแลอุปกรณ์ให้ปลอดภัย เรื่องแรกคือ การตรวจสอบการดาวน์โหลด, ไฟล์ปฏิบัติการ, เว็บไซต์ และอีเมล แบบเรียลไทม์

การตรวจสอบเชิงรุกนี้จะช่วยให้พบมัลแวร์ ก่อนที่อุปกรณ์จะติดไวรัส เพราะการป้องกันย่อมง่ายกว่าการกำจัด และช่วยลดความเสียหายจากอุปกรณ์หนึ่งสู่อุปกรณ์หนึ่งได้ด้วย

เรื่องที่สองคือ การสแกนและกำจัดไวรัส โปรแกรมสามารถสแกนฮาร์ดไดรฟ์ของอุปกรณ์บางส่วนหรือทั้งหมด เพื่อค้นหามัลแวร์ที่ซ่อนอยู่

จากนั้น โปรแกรมจะลบและทำลายไวรัสที่ค้นพบ หรือทำให้ไวรัสไม่แพร่กระจายต่อ

โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดทำงานอย่างไร

โปรแกรมป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์จะใช้ฐานข้อมูลมัลแวร์และไวรัสที่รู้จัก เพื่อระบุภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น

เมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้งานไปดาวน์โหลดไฟล์ หรือรันไฟล์ใด ๆ โปรแกรมจะตรวจสอบรหัสที่อยู่ในไฟล์นั้น ก่อนเริ่มดาวน์โหลดหรือติดตั้ง

หากโปรแกรม anti virus พบโค้ดในไฟล์ที่ตรงกับโค้ดอันตรายในฐานข้อมูลภัย โปรแกรมจะแจ้งผู้ใช้งาน หรือป้องกันไม่ให้มีการโหลดไฟล์นั้นลงในอุปกรณ์ 

ดังนั้น กุญแจสำคัญของโปรแกรมสแกนไวรัส จึงเป็นฐานข้อมูลที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งผู้ให้บริการทุกรายต้องมีฐานข้อมูลเป็นของตนเอง ดังนั้นประสิทธิภาพของโปรแกรมจึงอาจแตกต่างกันออกไป สิ่งสำคัญคือ ต้องเลือกแพลตฟอร์มที่มีระดับแอนตี้ไวรัสสูง ที่ผ่านการทดสอบในโลกความจริง

นอกจากนี้ ปัจจุบันโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดจำนวนมาก ใช้ระบบการเรียนรู้ด้วยตัวเองของเครื่องและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อระบุภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นใหม่ ซึ่งอัลกอริทึมเหล่านี้สามารถระบุมัลแวร์ตัวใหม่ ที่ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลใด ๆ ได้

เครื่องมือที่ใช้ AI ประสิทธิภาพสูงนี้ สามารถตรวจจับการแฮกแบบ Zero-day และแรนซัมแวร์ ที่โปรแกรมต้านไวรัสพื้นฐานไม่สามารถทำได้

ทำไมต้องใช้โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุด

โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุด มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน ให้ทำงานได้อย่างราบรื่น เราจะอธิบายเหตุผลสำคัญบางประการ ว่าทำไมทุกคนจึงควรมีโปรแกรมสแกนไวรัสที่เชื่อถือได้

ป้องกันไวรัสและมัลแวร์

เหตุผลอันดับหนึ่งที่ต้องมีโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุด คือ การป้องกันไวรัสและมัลแวร์ ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงตามมา

ไวรัสทำให้แฮ็กเกอร์สามารถขโมยข้อมูลจากคอมพิวเตอร์, เรียกค่าไถ่เพื่อปลดล็อกไฟล์สำคัญ หรือสร้างความเสียหายให้แก่ระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์ได้

โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุด จะช่วยหยุดไวรัสและมัลแวร์ ก่อนที่จะแทรกซึมเข้าไปในอุปกรณ์ของคุณได้

ไม่เพียงแต่ตรวจหารหัสที่เป็นอันตรายในการดาวน์โหลดเท่านั้น แต่ยังระบุเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย และหยุดการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์เหล่านั้น นอกจากนี้ โปรแกรมสแกนไวรัสจำนวนมาก ยังสามารถตรวจสอบลิงก์และไฟล์แนบในอีเมล เพื่อระบุแผนการฟิชชิงได้ด้วย

ล้างไวรัส

แม้จะมีโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุด แต่การติดไวรัสก็ยังเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ผู้ใช้งานอาจเลือกที่จะเลี่ยงผ่านไฟร์วอลล์, หลีกเลี่ยงการเชื่อมต่อกับเครือข่าย WiFi ที่ไม่ปลอดภัย หรือรับไวรัสจากอุปกรณ์ที่เคยติดไวรัสมาก่อน

อย่างไรก็ตาม โปรแกรมสแกนไวรัสสามารถช่วยได้ เพราะมีความสามารถในการสแกนแบบกำหนดเวลาและการสแกนด้วยตัวเอง เพื่อค้นหารหัสที่เป็นอันตรายและกำจัดมันทิ้ง ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ได้มาก

ความปลอดภัยทางไซเบอร์

โปรแกรมป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบองค์รวม และควรมี VPN (เครือข่ายเสมือนส่วนตัว) สำหรับการท่องเว็บออนไลน์อย่างปลอดภัย และตัวจัดการรหัสผ่าน เพื่อรักษาบัญชีให้ปลอดภัยควบคู่ไปด้วย

ข่าวดีก็คือ โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดหลายตัวมี VPN และตัวจัดการรหัสผ่าน ดังนั้น ผู้ใช้งานจะได้รับการปกป้องจากภัยออนไลน์ที่หลากหลายมากขึ้นได้

เพิ่มประสิทธิภาพให้แก่อุปกรณ์

อีกเหตุผลหนึ่งที่ควรโหลดโปรแกรมสแกนไวรัส ก็คือ โปรแกรมดังกล่าวสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่อุปกรณ์ได้ เพราะนอกเหนือจากการกำจัดมัลแวร์ที่กินแรมแล้ว โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดยังมีเครื่องมือเพิ่มความเร็วให้แก่ Windows หรือ Mac ด้วย

โปรแกรมเหล่านี้สามารถกำจัดไฟล์ที่ไม่จำเป็น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ดิสก์ และอื่น ๆ ได้

โปรแกรมสแกนไวรัสที่ปลอดภัยที่สุด คืออะไร?

หากสงสัยว่า โปรแกรม anti virus ตัวไหนดีที่ปลอดภัย?โปรแกรมใด ๆ จากบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก ก็ถือว่าปลอดภัยและน่าเชื่อถือทั้งหมด เช่น TotalAV, McAfee และ Norton 

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังเมื่อติดตั้งโปรแกรมสแกนไวรัส คือ ผู้ประสงค์ร้ายบางคนอาจบรรจุไวรัสลงในโปรแกรมปลอม เพื่อหลอกล่อให้ผู้คนดาวน์โหลดไวรัส

หากมีข้อสงสัย โปรดอ่านรีวิวโปรแกรมสแกนไวรัสของเรา เพื่อดูว่าบริษัทนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่

โปรแกรมสแกนไวรัสแบบชำระเงิน กับ โปรแกรมสแกนไวรัสฟรี ตัวไหนดีกว่ากัน

ปัจจุบัน มีทั้งโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุด ทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน ที่มีฟีเจอร์มากมาย และเหมาะสมกับทุกงบประมาณ

ที่บ่อยครั้ง ก็มีทั้งการสแกนมัลแวร์แบบเรียลไทม์ และการสแกนทั้งไดรฟ์

อย่างไรก็ตาม โปรแกรมสแกนไวรัสฟรีมักจะมีข้อจำกัดที่สำคัญบางประการ เช่น ไม่มี VPN หรือไม่มีตัวจัดการรหัสผ่าน ดังนั้น จึงไม่ใช่การป้องกันที่ปลอดภัยทั้งหมด

นอกจากนี้ แอพล้างไวรัสฟรีอาจไม่มีฐานข้อมูลเชิงลึกของมัลแวร์เทียบเท่ากับแบบที่ต้องชำระเงิน ซึ่งหมายความว่า อาจมีภัยที่หลุดรอดจากการสแกนได้

สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากแค่มีไวรัสเพียงตัวเดียวที่ผ่านเข้าไปได้ ก็อาจสร้างความเสียหายอย่างมากต่อระบบคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว

อีกสิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณา คือโปรแกรมสแกนไวรัสฟรีอาจมีฟีเจอร์จำกัด ตัวอย่างเช่น บางแพลตฟอร์มช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสแกนระบบเพื่อหามัลแวร์ได้ 

แต่ผู้ใช้งานต้องจ่ายเงิน เพื่อให้โปรแกรมสแกนไวรัสกำจัดมัลแวร์ที่ตรวจพบ

วิธีใช้โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุด

พร้อมที่จะเริ่มต้นใช้โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดของปี 2023 แล้วหรือยัง? เราจะแนะนำขั้นตอนการใช้งาน TotalAV ซึ่งเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของเราสำหรับการป้องกันไวรัสที่สมบูรณ์แบบ 

ขั้นตอนที่ 1 — สมัครใช้งาน TotalAV

หากต้องการเริ่มต้นใช้งาน ให้ไปยังเว็บไซต์ TotalAV แล้วคลิก ‘Get Protected Now‘ เลือกแผนและกดสั่งซื้อ จากนั้นกรอกรายละเอียดการชำระเงิน เพื่อทำการซื้อให้เสร็จสมบูรณ์

ขั้นตอนที่ 2 — ติดตั้ง TotalAV

เมื่อคุณซื้อโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดของ TotalAV แล้ว สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งบนอุปกรณ์ของคุณได้เลย โปรแกรม TotalAV ใช้ได้ทั้ง Windows และ Mac ที่อยู่บนเว็บไซต์ ส่วนแอพมือถือสำหรับ iOS และ Android ก็มีอยู่ใน Apple App Store และ Google Play

ขั้นตอนที่ 3 — เริ่มสแกนไวรัส

เมื่อติดตั้ง TotalAV แล้ว ให้เปิดแอพและคลิก ‘Enable Protection’ เพื่อสแกนการดาวน์โหลดใหม่, เว็บไซต์ที่น่าสงสัย และอื่น ๆ แบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นความคิดที่ดีที่จะทำการสแกนไวรัสให้สมบูรณ์

เมื่อต้องการสแกน ให้คลิก ‘Run Smart Scan’ TotalAV จะสแกนฮาร์ดไดรฟ์ของอุปกรณ์, แสดงผลที่ตรวจพบ และกำจัดโดยอัตโนมัติ

บทสรุปเกี่ยวกับโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุด

การมีโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดสามารถปกป้องอุปกรณ์จากมัลแวร์ได้ ซึ่งปัจจุบันก็มีตัวเลือกมากมายไม่จำกัด

โดยรวมแล้ว เรามั่นใจว่า TotalAV คือ โปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดในปี 2023 และอนาคตข้างหน้า

ไม่เพียงแค่ชื่อเสียงที่ดีเท่านั้น แต่โปรแกรมยังรองรับอุปกรณ์ชั้นนำได้ทั้งหมด รวมถึง VPN และตัวจัดการรหัสผ่าน เพื่อการป้องกันขั้นสูงสุด

คุณสามารถทดลองใช้ Total AV โดยไม่มีความเสี่ยงใด ๆ และรับประกันเงินคืนภายใน 30 วัน และคุณจะรู้ด้วยตัวคุณเองว่า ทำไมหลายคนถึงเลือกโปรแกรมสแกนไวรัสที่ดีที่สุดนี้ เพื่อป้องกันตนเองและอุปกรณ์ของพวกเขาจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ทั้งหมด

ไปยัง TotalAV ตอนนี้

หากคุณอยากสร้างรายได้จากการเทรด NFT คุณอาจพิจารณาเทรด NFT ได้ง่ายๆ จากที่บ้านได้ เพียงแค่ซื้อ NFT และขายในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมาเท่านั้น

ในคู่มือสำหรับมือใหม่นี้ คุณจะได้ศึกษาวิธีเทรด NFT ว่าเทรด NFT ยังไง หรือเทรด NFT ดีไหม วิธีซื้อ nft บนเว็บขาย nft ทำอย่างไร รวมถึงการเลือกโทเค็น และควรใช้กลยุทธ์ใดในการเทรด

5 วิธีซื้อ NFT แบบง่ายๆ

เราจะอธิบายคร่าวๆ ถึงวิธีการวิธีซื้อ NFT บน Crypto.com ในเวลาไม่กี่นาที

• ✅ขั้นตอนที่ 1 – เลือกแพลตฟอร์มเทรด NFT ที่ดีที่สุด: Crypto.com เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากแพลตฟอร์มนี้มี NFT นับพันรายการ ซึ่งคุณสามารถซื้อได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใดๆ และยังให้คุณขาย NFT ได้ในราคาที่คุณต้องการ
• 💳ขั้นตอนที่ 2 – ฝากเงิน: หลังจากที่คุณเปิดบัญชี คุณจะต้องทำการฝากเงิน โดยคุณสามารถฝากเงินผ่านการโอนข้ามประเทศได้ทันทีแบบฟรีๆ ทั้งยังรองรับบัตรเดบิต/เครดิตและการฝากคริปโต
• 📖ขั้นตอนที่ 3 – ศึกษาตลาด NFT: ก่อนเทรด NFT คุณควรใช้เวลาเรียนรู้ว่าตลาดนี้เป็นอย่างไร พิจารณาทำความเข้าใจกับคอนเซปและกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญๆ เพื่อสร้างโอกาสการทำกำไรให้มากที่สุด
• 🔎ขั้นตอนที่ 4 – เลือก NFT: ไปยังตลาด Crypto.com และเรียกดู NFT ที่พร้อมเทรดมากมาย บางรายการก็ซื้อได้ทันที ส่วนบางรายการก็ต้องประมูลแบบเว็บ eBay
• 🛒ขั้นตอนที่ 5 – เทรด NFT: คุณจะต้องประมูลราคาในการซื้อ NFT เมื่อเสร็จสมบูรณ์ Crypto.com จะหักยอดเงินในบัญชี และ NFT จะถูกเพิ่มไปยังกระเป๋าเงินของคุณ

ไปยัง Crypto.com ตอนนี้

สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล 

หากซื้อ NFT ที่ Crypto.com คุณก็สามารถนำไปขายเพื่อทำกำไรได้

เทรด NFT ได้ที่ไหน – รีวิวเว็บขาย NFT ยอดนิยม

เทรดเดอร์และผู้ที่ชื่นชอบ NFT จำนวนมากกำลังมองหาวิธีลงทุน $1,000 ในปี 2022 เพื่อซื้อขาย NFT โดยNFT Marketplace ที่ดีที่สุดในตลาดจะให้คุณเข้าถึง NFT นับพันรายการด้วยค่าธรรมเนียมแสนถูก

คุณควรใช้ตลาดเดียวกันเพื่อขาย NFT ต่อ โดยเราจะรีวิวเว็บขาย NFT ที่ดีที่สุดในวันนี้

1. Crypto.com – แพลตฟอร์มที่ดีที่สุดในการเทรด NFT

Crypto.com เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2016 โดยเป็นกระดานแลกเปลี่ยนคริปโตยอดนิยม และยังได้ขยายตัวไปสู่ตลาดหลักอื่นๆ มากมาย และยังเป็นแพลตฟอร์มที่มี NFT นับพันรายการ

มีทั้งเพลง NFT ศิลปะ ไปจนถึงคอลเล็กชันกีฬาและอีกมากมาย การเปิดบัญชีก็แสนง่ายและใช้เวลาไม่กี่นาที ซึ่ง Crypto.com รองรับการฝากเงินด้วยสกุลเงินทั่วไปอีกด้วย

คุณสามารถค้นหา NFT จำนวนมากได้ ซึ่งบางรายการก็มีราคาไม่กี่บาท และไม่คิดค่าธรรมเนียมใดๆ ในการซื้อ NFT

เมื่อซื้อ NFT แล้ว คุณสามารถทำกำไรโดยการลิสลงตลาด Crypto.com ซึ่งต้องเลือกว่าจะขายหรือประมูล โดยมีค่าธรรมเนียม 1.99% และคุณต้องตรวจสอบว่าผู้สร้าง NFT นั้นๆ ได้คิดค่าลิขสิทธิ์ด้วยหรือไม่

Crypto.com ยังให้คุณสร้างรายได้จากเหรียญคริปโตผ่านบัญชีดอกเบี้ยและรับผลตอบแทนต่อปีสูงถึง 14.5% เพียงแค่ฝากโทเค็นลงในแผนการออมของ Crypto.com

Crypto.com ยังเป็นตัวเลือกยอดเยี่ยมหากคุณกำลังจะซื้อเหรียญคริปโต ซึ่งมีค่าธรรมเนียมเพียง 0.40% ต่อการเทรด และจะถูกกว่า หากคุณ Stake เหรียญ CRO หรือทำการเทรดได้ตามเงื่อนไขของแพลตฟอร์ม

สิ่งที่เราชอบ:

• มี NFT มากมาย
• ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อ
• มีวิธีการชำระเงินหลากหลาย
• มีชื่อเสียงที่ดี
• เหมาะกับนักเทรดทุกประเภท
• เป็นหนึ่งในแอป NFT ที่ดีที่สุด

ไปยัง Crypto.com ตอนนี้

สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล

2. Coinbase – เว็บขาย NFT มาแรง

Coinbase เป็นหนึ่งในกระดานเทรดที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นผู้นำแห่งตลาดคริปโต แม้การแข่งขันในตลาดจะทวีความรุนแรงขึ้น แต่ Coinbase ก็ให้การลิสเหรียญลงกระดานเทรด (IPO) และมีโฆษณาในงานแข่งขันซูเปอร์โบวล์ 

Coinbase มี NFT มากมาย ได้แก่ Long Neckie Ladies, Dour Darcels, Genesis และ Cryptomories ที่จะไม่เก็บค่าธรรมเนียมการเทรดเป็นระยะเวลาหนึ่ง

โดยตัวแพลตฟอร์มก็มีกระเป๋าเงินคริปโตที่เป็นเหมือนพาสปอร์ตแบบดิจิทัล ที่ให้ผู้ใช้ใช้จ่ายซื้อเหรียญหรือ NFT ต่างๆ ทำให้ Coinbase เป็นหนึ่งใน crypto wallet ที่ดีที่สุดอีกด้วย

ซึ่งคุณสามารถซื้อ NFT ได้ง่ายๆ เพียงเชื่อมกับ Coinbase Wallet โดยไม่ต้องใช้รหัสใดๆ และตลาด Coinbase ก็ยังอยู่ในช่วงเบต้า ซึ่งมีแนวโน้มว่าแพลตฟอร์มจะเติบโตขึ้นอีกในอนาคต

สิ่งที่เราชอบ:

• มี NFT มากมาย
• ไม่มีค่าธรรมเนียมในระยะเวลาหนึ่ง
• มีโอกาสเติบโตสูง

ไปยัง Coinbase ตอนนี้

สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล

3. NFT Launchpad – แพลตฟอร์มเทรด NFT ของมือใหม่

อีกแพลตฟอร์มเมื่อคุณเรียนรู้วิธีเทรด NFT คือ NFT Launchpad ซึ่งเป็นตลาดยอดนิยมที่มีคอลเล็กชัน NFT มากมายรวมทั้ง Lucky Block

Lucky Block เป็นหนึ่งใน NFT ที่ดีที่สุดที่จะขาย ซึ่งให้สิทธิ์จับสลากรายวันแบบถาวร ส่วนคอลเล็กชันที่โดดเด่นอื่นๆ ได้แก่ Punk Dogs, Walruses และ Lazy Ape Club

คุณเพียงต้องเชื่อมต่อ MetaMask เพื่อทำการเทรด โดยคุณสามารถค้นหาหลายๆ โปรเจกต์ NFT ที่มีขายและประมูลได้

NFT Launchpad ยังให้คุณสร้าง NFT ของคุณด้วยการคลิกเพียงปุ่มเดียว และเพิ่มโปรไฟล์สุดพิเศษและลิงค์โซเชียลไปยัง NFT ของคุณก่อนขายได้

สิ่งที่เราชอบ:

• มี NFT ที่ดีที่สุดรวมถึง Lucky Block
• ค่าธรรมเนียมต่ำ
• รองรับ MetaMask
• ใช้งานง่าย

ไปยัง NFT Launchpad ตอนนี้

สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล

อธิบายการเทรด NFT โดยรวม 

การเทรด NFT นั้นค่อนข้างง่าย โดยวัตถุประสงค์หลักๆ ก็คือการซื้อ NFT จากตลาดออนไลน์แล้วขายเพื่อผลกำไร

ที่เรียกว่า NFT Flipping ซึ่งเป็นกระบวนการซื้อ NFT ในราคาต่ำและปล่อยขายเพื่อทำกำไร

เช่น คุณอาจพบคอลเล็กชัน NFT ยอดนิยมที่มีราคาที่ $200 แต่คุณเคยเห็นว่าโทเค็นดังกล่าวขายที่ $900 บนแพลตฟอร์มอื่น ซึ่งคุณเองก็สามารถหาโอกาสเทรด NFT ได้จากการประมูลต่างๆ

คอนเซปก็คือการประมูลราคา NFT ในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และนำไปขายบนตลาด NFT เพื่อทำกำไร ซึ่งคุณต้องเปิดบัญชีกับตลาดดีๆ อย่าง Crypto.com

พอเจอ NFT ที่ถูกใจแล้วคุณสามารถฝากเงินด้วย ACH, บัตรเดบิต/เครดิต หรือเหรียญคริปโตได้ทันที

การเทรด NFT ทำงานอย่างไร?

ไม่มีการรับประกันในการเทรด NFT ว่าคุณจะทำเงินได้

• คุณอาจคิดว่า NFT ที่คุณซื้อจะขายต่อได้เงินมหาศาล แต่ความจริงอาจไม่มีใครสนใจซื้อก็ได้
• หรือคุณอาจซื้อ NFT มาในราคาแพงเกินจริง ซึ่งคุณจะต้องขาย NFT ในราคาถูกกว่าที่ซื้อมา

เป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าต้องลงทุนยังไงให้ได้กำไร

โดยเราได้อธิบายข้อมูลพื้นฐานไว้ ดังนี้

การสร้าง NFT

NFT ต้องถูกสร้างก่อนนำไปขาย

หากคุณสงสัยว่าจะสร้างและเทรด NFT ยังไง คุณก็สามารถทำได้ง่ายๆ ที่ Crypto.com

กระบวนการสร้างเหรียญมีความจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่า NFT ต่างๆ เช่น งานศิลปะ ดนตรี หรือคอลเล็กชันกีฬา จะได้รับการยืนยันว่ามีความพิเศษไม่เหมือนใคร

การลิส NFT

เมื่อครีเอเตอร์สร้าง NFT แล้ว พวกเขาก็จะลิส NFT ได้ทันทีผ่านตลาดออนไลน์ ซึ่งจะเป็นจังหวะที่เทรดเดอร์อย่างคุณมีบทบาท หากคุณสนใจ NFT นั้นๆ

ส่วนใหญ่ NFT จะมีราคาคงที่ แม้ว่าบางครั้งจะเป็นราคาประมูล หากเป็นกรณีนี้ คุณจะต้องเสนอราคาแบบเดียวกับเว็บ eBay นั่นเอง

ซื้อ NFT

เมื่อคุณเลือก NFT ที่อยากเทรดได้แล้ว คุณก็ต้องทำการซื้อให้เสร็จสรรพ โดยตลาด NFT หลายๆ เจ้าจะรองรับการฝากเหรียญคริปโตเท่านั้น

คุณสามารถเชื่อมโยงกระเป๋าเงิน เช่น MetaMask กับแพลตฟอร์มเพื่อทำการซื้อให้เสร็จสิ้น โดย Crypto.com รองรับการฝากเงินผ่าน ACH และบัตรเดบิต/เครดิต

ขาย NFT

เมื่อซื้อ NFT แล้ว ขั้นต่อไปก็คือการเทรด โดยคุณต้องลิสลงในตลาดออนไลน์ จุดนี้แหละที่คุณจะได้ทราบว่าราคา NFT ที่คุณซื้อมาจะขายได้ในราคาสูงกว่าหรือไม่

นี่เป็นวิธีเดียวในการสร้างรายได้จาก NFT เช่น หากคุณซื้อ NFT ในราคา $1,000 และขายได้ในราคา $1,500 ก็แปลว่าเป็นกำไร 50% (ไม่รวมค่าธรรมเนียม)

ครีเอเตอร์ NFT บางรายจะเก็บค่าลิขสิทธิ์จากกระบวนการสร้าง ซึ่งหมายความว่าทุกครั้งที่มีการขาย NFT นั้นๆ พวกเขาก็จะได้รับส่วนแบ่งเล็กน้อย

เทรด NFT ตอนนี้

สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล

ทำไมต้องเทรด NFT? 

มีเหตุผลมากมายในการเรียนรู้วิธีเทรด NFT ซึ่งเราจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมด้านล่าง

NFT กำลังจะมีบทบาทสำคัญในโลกคริปโต

แม้ว่า NFT เคยเป็นกระแสเมื่อปี 2014 หลังจากการสร้าง Quantum ซึ่งเป็นงานศิลปะที่ขายได้กว่า 1.4 ล้านเหรียญที่ Sotheby’s เป็นครั้งแรก แต่ตลาด NFT ก็เพิ่งมาเป็นกระแสจริงๆ ก็เมื่อปีที่แล้ว

Forbes ตั้งข้อสังเกตว่ายอดขาย NFT นั้นมีมูลค่ากว่า 25 พันล้านดอลลาร์เมื่อปี 2021 เพิ่มขึ้นจาก 94 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว โดยปีนี้ถูกคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น

ถ้าเรียนรู้วิธีเทรด NFT ในตอนนี้ คุณก็จะเป็นรายแรกๆ ของตลาด NFT นั้นเอง

การเทรด NFT นั้นมีความยืดหยุ่นทางราคา

มักจะมีความเข้าใจผิดว่าการเทรด NFT นั้นเหมาะกับคนที่มีทุนสูงเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ความจริงสักนิด

แน่นอนว่ามีคอลเล็กชัน NFT เช่น Bored Ape Yacht Club ที่มีราคาขาย $1 ล้านต่อโทเค็น

แต่ก็มี NFT เช่น Lucky Block ที่เทรดกันในราคาเพียง $1,500

และยังมี NFT อื่นๆ ในราคาไม่กี่บาท การเทรด NFT จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนทุกคน

อาจสร้างผลตอบแทนได้มหาศาล

แม้ว่าวิธีเทรด NFT นั้นจะไม่ได้การันตีว่าคุณจะทำเงินได้ แต่ก็ยังมีโอกาสที่คุณจะได้เจอ NFT ที่สามารถนำไปขายได้ในราคามหาศาล

เช่น คอลเล็กชัน Bored Ape Yacht Club ที่มีโทเค็นที่ไม่ซ้ำกัน 10,000 รายการ เคยมีราคาขายเพียง 0.08 ETH (ประมาณ $200 ) เมื่อปี 2021 

ไม่กี่เดือนถัดมา Eminem และ Snoop Dogg ได้จ่ายเงินหลักแสน (ถึงล้าน) ดอลลาร์ เพื่อซื้อ Bored Ape Yacht Club NFT

ทำให้นักเทรด NFT เมื่อตอนนั้นสามารถทำกำไรไปได้มหาศาล

คุณสามารถทำกำไรจาก NFT ที่ถูกประเมินค่าต่ำได้ 

วิธีหนึ่งที่ทำกำไรได้มากที่สุดจากการเทรด NFT ก็คือการมองหารายการราคาถูก (แน่นอนว่า NFT จะมีค่าสำหรับผู้ที่เต็มใจจ่ายเท่านั้น)

กระบวนการค้นหา NFT ที่ถูกประเมินราคาต่ำก็เหมือนกับการหาของถูกใน eBay หรือ Amazon เนื่องจากอาจขายได้ในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อนั่นเอง

จะสร้างรายได้จากการเทรด NFT ยังไง? 

มีสองวิธีที่คุณสามารถสร้างรายได้จากการเทรด NFT คือ ตลาดแรกและตลาดรอง

มาดูกันว่าตลาดแต่ละแบบทำงานอย่างไร เพื่อช่วยคุณตัดสินใจว่าการเทรด NFT แบบไหนเข้ากับคุณมากที่สุด

ตลาดแรก

การซื้อ NFT จากตลาดแรกก็คือการซื้อโทเค็นโดยตรงจากผู้สร้าง

แต่คุณจะต้องซื้อผ่านตลาด NFT บุคคลที่สามเช่น Crypto.com อยู่ดี ซึ่งคุณต้องจ่ายราคาเดียวกันกับผู้อื่น

ที่สำคัญ คุณอาจจะได้ NFT ในราคาที่ถูกที่สุด เนื่องจากคุณกำลังเข้าสู่ตลาดก่อนที่ผู้คนจะตัดสินใจนำโทเค็นกลับมาขายใหม่ในราคาที่สูงกว่า

เช่น Lucky Block ที่มี NFT ไม่ซ้ำกัน 10,000 รายการ ซึ่งมาพร้อมกับสิทธิประโยชน์มากมาย

ตอนนี้ Lucky Block NFT มีราคา $1,500 ในตลาดแรกซึ่งเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการเทรดแบบระยะยาว

ตลาดรอง

เทรดเดอร์สามารถทำธุรกรรมได้ในตลาดรอง ซึ่งหาก NFT ที่คุณอยากซื้อได้ขายหมดในตลาดแรก คุณก็ต้องซื้อในตลาดรองอย่าง Crypto.com

• คุณอาจจะต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับราคาเดิม โดยเฉพาะถ้าเป็น NFT ยอดนิยม
• คุณอาจได้รับข้อเสนอราคาดีจาก NFT ที่นำมาประมูลได้

ส่วนการทำเงิน คุณสามารถลิส NFT ในราคาที่ต้องการหรือจะประมูลก็ได้ และจะทำกำไรได้หากคุณขายได้แพงกว่าราคาที่ซื้อ

เทรด NFT ได้ตลอดเวลา

ไม่เหมือนตลาดหุ้นทั่วไป คุณสามารถเทรด NFT ได้ทุกวันทุกเวลา โดยตลาด NFT ยอดนิยม เช่น Crypto.com และ NFT Launchpad มีผู้ใช้งานจากทั่วทุกมุมโลก

หากคุณพบโอกาสในการเทรด NFT ที่คุณเชื่อว่าจะทำกำไรได้ ก็จะไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาใดๆ ในการซื้อ

การเคลื่อนไหวของราคา NFT

การเคลื่อนไหวของราคา NFT นั้นค่อนข้างเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล เพราะมูลค่าของ NFT จะขึ้นอยู่กับว่ามีใครยินดีจ่ายหรือไม่นั่นเอง

• ตัวอย่างเช่น ตอนที่ Bored Ape Yacht Club มีราคาเดิมที่ 0.08 ETH นั่นก็เป็นเพราะผู้สร้างประเมินมูลค่าโทเค็น NFT แต่ละรายการต่ำกว่า $200
• อย่างไรก็ตาม ไม่กี่เดือนถัดมา Bored Ape Yacht Club NFT ก็ขายได้ในราคาหลักแสนถึงล้านดอลลาร์
• และเหตุผลก็เพราะ NFT ดังกล่าวมีอุปสงค์มากกว่าอุปทานในระดับสูงนั่นเอง

แต่ NFT ส่วนใหญ่ดึงดูดความต้องการซื้อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นสาเหตุว่าทำไมต้องพยายามขาย และเป็นผลให้การคาดเดาทิศทางราคา NFT เป็นส่วนที่ยากที่สุดนั่นเอง

NFT ที่ดีที่สุดในการเทรดคืออะไร?

ทางเดียวที่จะหา NFT ที่ดีที่สุดได้นั้นคือต้องศึกษาด้วยตนเอง

คุณสามารถตรวจสอบตลาด NFT แรกและรองที่ได้รับความนิยม เพื่อดูว่ามีการเทรดคอลเล็กชันใดบ้างและมีราคาเท่าไหร่ จากนั้นคุณจะต้องคาดการณ์ว่า NFT นั้นจะมีมูลค่าเท่าไหร่ในอนาคต

หากคุณกำลังมองหาแรงบันดาลใจในวิธีเทรด NFT ที่ดีที่สุดในตอนนี้ โปรดตรวจสอบคอลเล็กชันด้านล่าง

1. Lucky Block – NFT โดยรวมที่ดีที่สุดในการเทรดตอนนี้

เราเชื่อว่า Lucky Block คือ NFT โดยรวมที่ดีที่สุดในการเทรดตอนนี้ โดย Lucky Block กำลังสร้างระบบนิเวศเกมคริปโตระดับโลกที่ให้คุณชนะรางวัลเป็นโทเค็น LBLOCK

โทเค็น LBLOCK สามารถแปลงเป็นเหรียญคริปโตมูลค่าตลาดสูงได้ เช่น BNB ผ่านกระดานเทรด และ Lucky Block NFT ก็ให้คุณเข้าถึงการจับสลากรายวันได้ถาวร ซึ่งมีอยู่เพียง 10,000 รายการ และจะถูกกำหนดด้วยตัวเลขต่างๆ โดยหากหมายเลขของ NFT ที่คุณถือออก คุณก็จะได้รับเงินรางวัล 2% จากรางวัลแจ็คพอต

คุณสามารถซื้อ Lucky Block ผ่านการลิสแรกบน NFT Launchpad (ซึ่งหมายความว่าราคาจะถูกที่สุด) เมื่อ NFT ถูกซื้อไปทั้งหมด 10,000 รายการแล้ว ก็จะไม่มีการหมุนเวียนอีกต่อไป ดังนั้นจึงมีโอกาสที่มูลค่าของ Lucky Block NFT จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป จึงเป็นโอกาสดีในการเทรด NFT

ซื้อ Lucky Block NFT ตอนนี้

สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล

2. AlphaBot Society: Custom Avatars – มี NFT เพียง 10 รายการเท่านั้น 

จำนวนของโทเค็นก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกเทรด NFT ที่ดีที่สุด โดยยิ่ง NFT ก็หมายความว่าคอลเล็กชันจะอุปสงค์จะมากกว่าอุปทานนั่นเอง

ซึ่งจะสามารถขยายมูลค่าได้ในระยะยาว โดยคอลเล็กชัน AlphaBot Society: Custom Avatars นับว่าเป็น NFT ชั้นนำที่มี NFT เพียง 10 รายการเท่านั้น ในตอนนี้ คุณสามารถซื้อ NFT จากซีรีส์นี้ได้ในราคาต่ำสุดที่ $5,500

โดย Dark Side Naturalist NFT จากคอลเล็กชันนี้มีมูลค่ามากกว่า $50,000 และ AlphaBot Society NFT บางส่วนได้ถูกลิสบนตลาด Crypto.com ซึ่งคุณอาจจะซื้อได้ในราคาถูกนั่นเอง

ซื้อ AlphaBot Society NFT ตอนนี้

สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล

3. PsychoKitties: The New Era: NFT ราคาถูกสำหรับมือใหม่ 

หากคุณเพิ่งเรียนรู้วิธีเทรด NFT และคุณไม่อยากเสี่ยงจ่ายเงินเยอะในการซื้อครั้งแรก เราขอแนะนำคอลเล็กชัน PsychoKitties: The New Era

คอลเล็กชันนี้ประกอบด้วยแมวสุดพิเศษ 10,000 รายการ ซึ่งมีระดับความหายากหลายระดับ โดยมีมูลค่าการเทรดในตลาด Crypto.com เกือบ $13 ล้าน

ตอนนี้ คุณสามารถซื้อ PsychoKitties ในราคาต่ำสุดที่ $379 โดยมีราคาประมูลเริ่มต้นเพียง $1

ซื้อ PsychoKitties NFT ตอนนี้

สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล

4. Aston Martin F1: NFT ยอดนิยมในการเทรดของคนรักรถแข่ง 

มีบริษัทและแบรนด์มากมายที่เพิ่งเข้ามาในตลาด NFT รวมถึง Aston Martin F1 ที่มี 6,417 โทเค็นที่ไม่ซ้ำ โดยมีสามระดับหลักๆ ได้แก่ Accelerate, Slipstream และ Velocity

ตามตลาด Crypto.com ณ ตอนนี้ คุณสามารถซื้อ Aston Martin F1 NFT ได้ในราคาต่ำสุดที่ $30 และประมูลเริ่มต้นที่ $15 โดย NFT ที่หายากที่สุดจากคอลเล็กชันนี้มีการเทรดที่ราคาหลายแสนบาท

ซื้อ Aston Martin F1 NFT ตอนนี้

สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล

5. Philadelphia 76ers: คอลเล็กชันกีฬา NFT สำหรับคนรัก NBA 

หากคุณสนใจ NFT เกี่ยวกับกีฬา Philadelphia 76ers คือตัวเลือกที่ดีที่สุด โดยมี NFT เพียง 793 รายการเท่านั้น ทำให้เป็นหนึ่งในคอลเล็กชันที่หายากที่สุดในตลาด

คุณสามารถซื้อ NFT ของ Philadelphia 76ers ได้ในราคาเพียงไม่ถึง $200 และเริ่มประมูลได้ที่ $70

ซื้อ Philadelphia 76ers NFT ตอนนี้

สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล

กลยุทธ์การเทรด NFT ที่ดีที่สุด

คนส่วนใหญ่ล้มเหลวในการสร้างรายได้เมื่อศึกษาวิธีเทรด NFT เป็นครั้งแรกเนื่องจากไม่มีกลยุทธ์ที่เหมาะสม

เราจะพูดถึง 5 กลยุทธ์วิธีเทรด NFT ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ทันที

เริ่มต้นด้วยการลิสแรก

หากคุณเป็นมือใหม่ในโลก NFT คุณควรหลีกเลี่ยงการลิสรอง ให้มองหาการดรอป NFT ที่เด่นๆ ในตลาดแรกแทน

การทำแบบนี้ คุณจะต้องจ่ายราคาเดียวกันกับผู้อื่น ซึ่งคุณมักจะซื้อ NFT ในตลาดแรกได้ในราคาไม่แพง

ในทางกลับกัน เมื่อซื้อ NFT ผ่านตลาดรอง คุณจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคุณจะได้ราคาถูกหรือไม่ และคุณจะต้องจ่ายเงินให้กับคนขาย ไม่ใช่คนสร้าง NFT นั้นๆ

พิจารณาการประมูลด้วย

อีกหนึ่งกลยุทธ์การเทรด NFT ที่คุณต้องพิจารณาในฐานะมือใหม่ก็คือการเน้นที่ลิสประมูล ซึ่งคล้ายกันกับลิสใน eBay ที่ NFT จะวางจำหน่ายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

บุคคลที่เสนอราคาสูงสุดก็จะได้สิทธิ์ซื้อ NFT

ในหลายกรณี คุณอาจเจอการประมูล NFT ที่สามารถทำกำไรและถูกประเมินค่าต่ำเกินไป ซึ่งอาจเป็นเพราะผู้ขายไม่ได้ลิสรายการดีพอหรือตลาดไม่ให้ความสนใจมากพอนั่นเอง

ค้นหา NFT ที่ใช้งานได้จริง

ต้องบอกว่า NFT ส่วนใหญ่ที่คุณเจอมักไม่ได้มีการใช้งานจริงเท่าไหร่ เพราะ NFT ส่วนใหญ่จะเป็นงานศิลปะที่นักสะสมมักซื้อเก็บไว้

แต่ NFT อย่าง Lucky Block มีการใช้งานหลากหลาย เช่น สามารถเข้าร่วมการจับสลากแจ๊คพอตได้ถาวร

กระจายความเสี่ยงด้วย NFT ราคาถูก

อาจยากสักหน่อยที่จะรู้ว่า NFT ไหนจะทำกำไรได้

โดย NFT ของ Bored Ape Yacht Club NFT เดิมมีราคาเพียง $200 ซึ่งไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะมีคนจ่ายเงินมากกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์ในตลาดรองเพื่อซื้อคอลเล็กชันนี้

ซึ่งกลยุทธ์ที่ดีก็คือซื้อ NFT ราคาประหยัดจำนวนมาก การกระจายความเสี่ยงแบบนี้ คุณแค่ต้องการ NFT รายการเดียวเท่านั้นที่สามารถมีมูลค่าเพิ่มได้

ศึกษาสถิติ NFT

ในการลงทุนอย่างจริงจัง คุณจะต้องใช้เวลาไปกับการวิเคราะห์สถิติของ NFT ต่างๆ เพราะคุณจะมีข้อมูลที่มีประโยชน์ต่างๆ เพื่อค้นหา NFT ในตลาด Crypto.com

ซึ่งคุณสามารถกรองผลการค้นหาตามจำนวนรวมของปริมาณการซื้อขายในช่วง 24 ชั่วโมง 7 วัน 30 วันหรือตลอดเวลาได้

และคุณสามารถดูความนิยมของ NFT ได้โดยดูว่ามีการกด “ไลค์” หรือเพิ่มในรายการโปรดกี่ครั้ง สิ่งนี้จะทำให้คุณมีโอกาสซื้อ NFT ยอดนิยมที่ยังมีราคาไม่แพงมากได้

การเทรด NFT ปลอดภัยหรือไม่?

การเทรด NFT เป็นกระบวนการที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่คุณจะต้องแน่ใจว่าคุณกำลังใช้แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ เช่น Crypto.com ซึ่งมีการรับรองในสหรัฐอเมริกาและที่อื่นๆ และยังมีบริการกระดานเทรดคริปโต บัตรเครดิต และสินเชื่ออีกด้วย

แต่ตลาด NFT บางเจ้าก็มีการหลอกลวง เพราะทุกคนก็สามารถสร้างเว็บขาย NFT ได้

หากคุณเชื่อมต่อกระเป๋าเงินของคุณเข้ากับเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมาย คุณก็อาจถูกขโมยโทเค็นคริปโตได้นั่นเอง

อีกสิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเรียนรู้วิธีเทรด NFT ก็คือจะไม่มีความแน่นอนในการสร้างรายได้ ซึ่งมีโอกาสที่คุณจะซื้อ NFT มาแล้วแต่ขายไม่ออก

หรือหากคุณขายได้ คุณก็อาจถูกบังคับให้ขายในราคาถูกกว่าที่ซื้อมา ถ้าตลาดไม่ให้ความสนใจ

ซื้อ NFT ยังไง – คู่มือแบบทีละขั้นตอน

หากคุณพร้อมที่จะเทรด NFT เป็นครั้งแรกแล้ว ตอนนี้เราจะแนะนำวิธีการเทรดทุกขั้นตอน ซึ่งคุณจะได้เรียนรู้วิธีซื้อและขาย Lucky Block ผ่าน NFT Launchpad

ขั้นตอนที่ 1: ติดตั้ง MetaMask

เว็บไซต์ NFT Launchpad ให้คุณซื้อ Lucky Block NFT ด้วย wBNB ผ่านกระเป๋าเงิน MetaMask ซึ่งเป็นส่วนขยายของ Google Chrome

ซื้อ Lucky Block NFT ตอนนี้

สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล

เมื่อคุณติดตั้งกระเป๋าเงินแล้ว คุณจะต้องตั้งรหัสผ่านที่ไม่ให้ใครเดาได้ และคุณต้องจดข้อความรหัสผ่านสำรอง MetaMask ของคุณ ซึ่งจะมี 12 คำ

ขั้นตอนที่ 2: เชื่อมต่อ Binance Smart Chain กับ MetaMask

คุณต้องเพิ่ม Binance Smart Chain ไปยัง MetaMask ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ Lucky Block ถูกลิสไว้

ในการตั้งค่า MetaMask โปรดมองหาปุ่มที่ให้คุณสามารถเพิ่มเครือข่ายใหม่ได้

จากนั้นป้อนรายละเอียดดังนี้:

Network Name: Smart Chain

New RPC URL: https://bsc-dataseed.binance.org/

ChainID: 56

Symbol: BNB

Block Explorer URL: https://bscscan.com

ขั้นตอนที่ 3: โอน wBNB ไปยัง MetaMask

Lucky Block แต่ละรายการขายได้เป็น wBNB เท่ากับ $1,500 ซึ่งคุณสามารถซื้อโทเค็น wBNB ได้จาก Binance ถ้าคุณยังไม่มีโทเค็น จากนั้นโอน wBNB ไปยังกระเป๋าเงิน MetaMask ของคุณ

ขั้นตอนที่ 4: เชื่อมต่อ MetaWallet กับ NFT Launchpad

หากคุณมี wBNB ใน MeatMask คุณก็สามารถไปที่เว็บไซต์ NFT Launchpad แล้วคลิกที่ปุ่ม “Connect Wallet”

ระบบจะขอให้คุณยืนยันการเชื่อมต่อ MetaMask กับ NFT Launchpad ผ่านส่วนขยาย Google Chrome ที่คุณได้ติดตั้งไว้ในขั้นตอนที่ 1

ขั้นตอนที่ 5: ซื้อ Lucky Block NFT

ตอนนี้ คุณสามารถเรียกดู Lucky Block NFT ที่เป็นการลิสครั้งแรกได้ โดยแต่ละ NFT จะมีตัวเลขระหว่าง 1 ถึง 10,000 ซึ่งจะเป็นหมายเลขของการจับสลาก Lucky Block ประจำวัน

เมื่อคุณเลือก Lucky Block NFT ที่คุณต้องการซื้อแล้ว ให้ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อทำการซื้อให้เสร็จสมบูรณ์

ขั้นตอนที่ 6: เทรด Lucky Block NFT

เมื่อคุณซื้อ Lucky Block NFT แล้ว คุณควรถือโทเค็นของคุณไว้จนกว่าลิสแรกจะขายหมด เพราะคุณอาจสร้างลิสใหม่และขายได้ในราคาแพงกว่าเดิม

หากคุณสามารถทำได้ คุณก็จะได้กำไรจากการเทรด NFT นั่นเอง

ไปยัง NFT Launchpad ตอนนี้

สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล

บทสรุป

คู่มือนี้ได้อธิบายทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับวิธีเทรด NFT โดยเรายังได้วิเคราะห์ NFT ที่ดีที่สุดที่จะเทรดตอนนี้อีกด้วย

โดยรวมแล้ว เราคิดว่า Lucky Block เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับมือใหม่ เนื่องจากคุณสามารถซื้อ NFT ได้ผ่านการลิสแรก และมีราคาเริ่มต้นเพียง $1,500

คุณสามารถซื้อ Lucky Block NFT ได้ในเวลาไม่กี่นาทีผ่านตลาด NFT Launchpad

เหรียญคริปโตถือเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ทางเลือกจากสินทรัพย์แบบเดิมๆ ทั้งในด้านการลงทุนระยะสั้นและระยะยาว โดยเหรียญคริปโตถือว่าน่าสนใจในด้านการ Day Trade ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวิธีในการทำกำไรจากเหรียญคริปโตใหม่ๆ ที่น่าสนใจที่สุดในปัจจุบัน

โดยในบทความนี้ เราจะเจาะลึกและจัดอันดับ 6 เหรียญคริปโตต้นน้ำที่ดีที่สุดในปี 2023 โดยจะอธิบายถึงรายละเอียดของโปรเจกต์ ความน่าซื้อ และเทคนิคในการซื้อเหรียญในช่วงพรีเซลล์

จัดอันดับ 6 เหรียญต้นน้ำ 2023

ทุกวันนี้ นักลงทุนหลายๆ คนเลือกที่จะซื้อเหรียญคริปโตแบบระยะสั้น – โดยอาจถือไว้แค่ไม่กี่ชั่วโมง จึงค่อยขาย นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘การเทรด’ ซึ่งจะถือเหรียญไว้ในระยะสั้นๆ นั่นเอง

โดยด้านล่างคือ 6 เหรียญต้นน้ำ 2023 ที่น่าสนใจมากที่สุด ซึ่งเราได้ทำการรีวิวแบบละเอียดในส่วนถัดไป:

1. Wall Street Memes (WSM) – $WSM เป็นเหรียญมีมคริปโตต้นน้ำที่เปิดตัวโดย Wall Street Memes ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคริปโตโซเชียลมีเดียที่โดดเด่น โดยมีหนึ่งในเหรียญคริปโตต้นน้ำที่น่าซื้อที่สุดอย่าง $WSM ที่ระดมทุนได้แล้วกว่า 2.5 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์
2. AiDoge (AID) – แพลตฟอร์มสร้างมีมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งเพิ่งสิ้นสุดช่วงพรีเซลล์ไปหมาดๆ โดยระดมทุนได้กว่า 14.9 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์ – และจะเปิดตัวในกระดานเทรดในอีกไม่นาน
3. yPredict (YPRED) – แพลตฟอร์มการคาดการณ์ทางการเงินที่ล้ำสมัยและเป็นเหรียญต้นน้ํา crypto ในปี 2023 โดยการวิเคราะห์และการคาดการณ์ยอดเยี่ยมของโปรเจกต์สามารถทำกำไรให้กับผู้ใช้ได้สูงถึง 45% ในทุกไตรมาส และระดมทุนได้ $2 ล้านจากการพรีเซลล์
4. Launchpad XYZ (LPX) – โซลูชันคริปโตที่ขับเคลื่อนด้วย Web 3.0 สุดล้ำ ซึ่งมีแดชบอร์ดที่ใช้งานง่ายและฟีดเทคโนโลยีสำหรับมือใหม่ พร้อมเครื่องมือที่มีประโยชน์เพื่อให้ประสบความสำเร็จในตลาด Web 3.0 โดยระดมทุนได้ 800,000 ดอลลาร์ในช่วงพรีเซลล์
5. DeeLance (DLANCE) – แพลตฟอร์มกระจายอำนาจบน Blockchain ที่เชื่อมต่อฟรีแลนซ์และลูกค้า โดยเป็นเหรียญคริปโตต้นน้ำที่มีราคาถูกเป็นอันดับต้นๆ – ระดมทุนได้ 1.2 ล้านดอลลาร์ในช่วงพรีเซลล์
6. Ecoterra (ECOTERRA) – โปรเจกต์คริปโตรักษ์โลกซึ่งให้รางวัลแก่ผู้ที่มีส่วนร่วมในการรีไซเคิลขยะบนแพลตฟอร์ม โดยระดมทุนไปแล้วกว่า 4.5 ล้านดอลลาร์ในช่วงพรีเซลล์

ไปยัง Wall Street Memes Presale ตอนนี้

เจาะลึกกับเหรียญคริปโตแต่ละเหรียญ

เหรียญคริปโตต้นน้ำที่ดีที่สุดในปัจจุบันถือว่ามีสภาพคล่องสูงและมีศักยภาพในการให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่นักลงทุนระยะสั้นไม่ควรมองข้าม หากกำลังมองหาเคล็ดลับการลงทุนคริปโต

โดยในตอนนี้ เราจะเริ่มรีวิวเหรียญต้นน้ำ น่าสนใจ 2023 โดยละเอียดในด้านล่าง – โดยเหรียญต้นน้ำส่วนใหญ่ที่เราแนะนำถือเป็นเหรียญคริปโตที่น่าจับตามองในระยะยาวด้วยเช่นกัน

1. Wall Street Memes – เหรียญคริปโตต้นน้ำที่น่าซื้อมากที่สุด

หนึ่งในวิธียอดนิยมในการซื้อเหรียญคริปโตต้นน้ำคือการกระจายความเสี่ยงในโทเค็นมีม แม้ว่าโทเค็นเหล่านี้ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง แต่ก็มีโทเค็นหลายสกุล เช่น Dogecoin, Shiba Inu และ Pepe ที่ได้ให้ผลตอบแทนมหาศาลแก่นักลงทุน

Wall Street Memes เป็นเหรียญมีมต้นน้ำที่มีศักยภาพสูง ด้วยผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคนในโซเชียลมีเดียและโทเค็น $WSM ก็ระดมทุนไปได้กว่า 2.5 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรก

แพลตฟอร์มนี้ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 2019 บน Twitter ด้วยผู้ติดตามมากกว่า 217,000 คน Wall Street Memes Twitter จึงได้รับการตอบกลับจากคนดังที่มีอิทธิพลอย่าง Elon Musk อีกด้วย

พร้อมนักพัฒนามีประสบการณ์ยาวนานในวงการและก่อนหน้านี้ก็ได้เปิดตัวโปรเจกต์ NFT ของตนเอง – Wall St Bulls – ในปี 2021 โดยคอลเล็กชันแรกมี 10,000 Ethereum NFT และขายหมดในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง

และเพิ่งเปิดตัวคอลเล็กชัน Bitcoin Ordinals NFT โดย Wall Street Memes ได้เปิดตัว $WSM เพื่อใช้ประโยชน์จากความดังของมีม เช่น Pepe, MiLady และ Wojak ที่มีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยคอมมิวนิตี้ของโปรเจกต์ก็ต่างต้องการ $WSM ซึ่งได้เริ่มการพรีเซลล์ไปเมื่อไม่นาน

โดย $WSM มีราคาเพียง $0.025 ต่อโทเค็นในรอบแรกของการพรีเซลล์ โดยในรอบที่ 5 หรือปัจจุบัน มีราคาอยู่ที่ $0.0262

การพรีเซลล์จะเปิดขาย 1 พันล้านโทเค็นจากการพรีเซลล์ 30 รอบ โดยราคาจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.0337 ดอลลาร์ต่อโทเค็นในรอบสุดท้าย

จากอุปทานสูงสุด 2 พันล้านรายการ 50% ได้รับการจัดสรรให้กับการพรีเซลล์ – โดยอุปทานที่เหลือจะแบ่งระหว่างรางวัลคอมมิวนิตี้ (30%) และสภาพคล่อง DEX และ CEX (20%)

ซึ่งแปลว่าจะไม่มีการจัดสรรให้กับทีมงาน ทำให้เป็นหนึ่งในเหรียญคริปโตต้นน้ำที่ดีที่สุดหลังจากช่วง ICO เนื่องจากมีคอมมิวนิตี้คอยขับเคลื่อนอย่างเต็มที่

โปรเจกต์ดังกล่าวตั้งเป้าระดมทุนไว้ที่ 30.57 ล้านดอลลาร์ หลังจากนั้นจะลิสต์ลงกระดานเทรด อาจกลายเป็นเหรียญต้นน้ํา binance หรือ เหรียญต้นน้ํา gate io แห่งปี 2023 ก็เป็นได้

ผู้อ่านที่สนใจก็สามารถเข้าร่วมคอมมิวนิตี้บนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ที่ Linktree

ไปยัง Wall Street Memes ตอนนี้

2. AiDoge – เหรียญต้นน้ำ [cur_year] ที่น่าสนใจ

AiDoge เป็นหนึ่งในเหรียญคริปโตต้นน้ำที่น่าซื้อในปี 2023 และจะมีการลิสต์ลงกระดานเทรดในอีกไม่นาน

พรีเซลล์โทเค็น $AI ระดมทุนได้ตามเป้าที่ 14.9 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ และจะมีการลิสต์เหรียญลงกระดานเทรดในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

โดยความนิยมที่ล้นหลามมาจากปัจจัยที่น่าสนใจ 3 ข้อ ได้แก่ วัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ศักยภาพในการเติบโตสูง และความนิยมที่แพร่หลายทั่วโลก

โปรเจกต์สุดล้ำนี้เป็นการผสมผสานระหว่างสองโลกที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกัน – เทคโนโลยี Blockchain และการสร้างคอนเทนต์ดิจิทัล โดยใช้อัลกอริธึมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ขั้นสูงเพื่ออำนวยความสะดวกในคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบันอย่าง ‘มีม’

เมื่อถือโทเค็นหลัก (AID) ผู้ใช้ AiDoge จะสามารถเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรของแพลตฟอร์มได้ ซึ่งช่วยให้พวกเขาสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูงได้นั่นเอง

ตามเอกสารข้อมูลของ AiDoge ผู้ถือโทเค็นจะใช้เหรียญสำรองเพื่อซื้อเครดิตสำหรับการสร้างมีม ด้วยสกุลเงินเสมือนนี้ ผู้ใช้จะได้ใส่ข้อความลงในเครื่องมือสร้างมีมของ AiDoge และปล่อยให้แพลตฟอร์มสร้างมีมออกมา 

กลไกนี้ใช้จุดข้อมูลนับล้านที่รวบรวมจากมีมและข่าวสารต่างๆ เพื่อพัฒนาคอนเทนต์ที่มีบริบทเหมือนกัน โดยผลลัพธ์ที่ได้คือมีมแบบออริจินอลและน่าสนใจที่สามารถแชร์ได้ตลอดเวลา

วอลล์สาธารณะเฉพาะของโปรเจกต์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแชร์คอนเทนต์ดังกล่าว โดยจะมีฟีดที่ผู้ใช้สามารถโพสต์มีมและโหวตได้

ผลงานที่ได้รับการโหวตจะมองเห็นได้มากขึ้นและจะมีการจัดอันดับมีม โดยผู้สร้างมีมที่มีคะแนนสูงสุดจะได้รับโทเค็นรายเดือนสำหรับการเข้าร่วมและสนับสนุนเครือข่าย

เหรียญ AID ยังเปิดโอกาสให้ผู้ถือสร้างรายได้แบบพาสซีฟจากการ Staking โดยการล็อคเหรียญไว้ใน Staking Wallet ซึ่งแพลตฟอร์มจะให้สิทธิ์คุณเข้าถึงฟีเจอร์พรีเมียม เช่น เทมเพลตใหม่ การแข่งขันสุดพิเศษ และให้รางวัลที่น่าสนใจทุกวัน 

ฟีเจอร์ AiDoge นี้ เมื่อรวมกับฟีดที่กล่าวถึงข้างต้น จะช่วยส่งเสริมคอมมิวนิตี้ให้มีชีวิตชีวาและมั่นคง พร้อมช่วยส่งเสริมการพัฒนาและความสำเร็จของโปรเจกต์อีกด้วย 

ติดตาม AiDoge Telegram เพื่อศึกษาโปรเจกต์เพิ่มเติม

ไปยัง AiDoge ตอนนี้

3. yPredict – แพลตฟอร์มการทำนายและวิเคราะห์ที่ดีที่สุด พร้อมเป็นเหรียญคริปโตต้นน้ำที่น่าซื้อในปี 2023

มาต่อกันที่ในเหรียญคริปโตต้นน้ำที่ดีที่สุดในปี 2023 คือ yPredict ซึ่งเป็นเครือข่ายการคาดการณ์การเทรดด้วย AI 

แม้ว่าจะไม่ใช่โปรเจกต์ Blockchain เดียวที่นำเสนอการวิเคราะห์เหรียญ แต่ก็เป็นที่นิยมมากที่สุด โดยมีผู้ใช้มากกว่า 20,000 ราย และระดมทุนในช่วงพรีเซลล์ได้สูงถึง 2 ล้านดอลลาร์

yPredict ถือเป็นหนึ่งในโปรเจกต์เหรียญ AI ที่น่าลงทุนมากที่สุด ซึ่งแยกตัวออกมาจากตลาดคริปโตที่มีการแข่งขันสูง โดยมุ่งเน้นไปแก้ปัญหาสำคัญแทน: โดยโปรเจกต์มุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาของตลาดการเงินที่คาดเดาไม่ได้ผ่านเทคโนโลยี Blockchain 

ด้วยนักพัฒนาระดับปริญญาเอกที่ได้ใช้ทรัพยากรของแพลตฟอร์มเพื่อสร้างเครื่องมือคาดการณ์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งขับเคลื่อนด้วย AI 

ด้วยอัลกอริธึมการจดจำรูปแบบ เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยระบุช่วงตลาดขาลงและขาขึ้นได้ผ่านการแจ้งเตือนการเทรด 

โดยนักเทรดสามารถใช้สัญญาณเหล่านี้เพื่อศึกษาความเคลื่อนไหวล่าสุดของตลาดและตัดสินใจลงทุนอย่างมีข้อมูล แต่จะต้องถือโทเค็นหลักของ yPredict — YPRED — จึงจะสามารถทำได้

กระดานเทรด yPredict อธิบายว่าเหรียญดังกล่าวให้สิทธิพิเศษมากมายแก่เจ้าของ เพื่อให้ได้เข้าถึงแพลตฟอร์ม yPredict Analytics ได้อย่างเต็มที่ เช่น การสมัครรับข้อมูลรายเดือนสำหรับโมเดลสัญญาณเทรด และสิทธิ์ในการลงคะแนนในตลาด 

ในราคาถูกเพียง $0.07 ต่อโทเค็น ผู้ใช้สามารถซื้อการเข้าถึงตลอดชีพเพื่อการวิเคราะห์เหรียญคริปโตฟรีๆ โดยรายได้ 10% ของแพลตฟอร์มจะมาจากการสมัครรับข้อมูลของสมาชิกใหม่ รางวัลในการลงคะแนน และอื่นๆ

ฟีเจอร์เหล่านี้เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยในนวัตกรรมของ yPredict เท่านั้น โดยผู้พัฒนาได้วางแผนที่จะให้บริการในด้านอื่นๆ เอาไว้เรียบร้อย 

คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Telegram และโซเชียลมีเดียอื่นๆ 

ไปยัง yPredict ตอนนี้

4. Launchpad XYZ — เหรียญคริปโตต้นน้ำ Web 3.0 น่าซื้อในปี 2023

ในการจัดอันดับอย่างดุเดือดของเรา Launchpad XYZ ได้มาอยู่ในอันดับที่ 4 ในเหรียญคริปโตต้นน้ำที่ดีที่สุดของเราในปี 2023 โดยได้ครอบครองตำแหน่งที่ไม่เหมือนใครในอุตสาหกรรมคริปโตทั้งในแง่ของขั้นตอนการพรีเซลล์และเป้าหมาย 

แม้ว่าจะเพิ่งเปิดตัวในเดือนเมษายน 2023 แต่แนวทางที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลางสู่โลกที่ซับซ้อนของ Web 3.0 ก็ได้รับความสนใจอย่างมากและระดมทุนได้เกือบ 900,000 ดอลลาร์

ถือว่านานแล้วที่อินเทอร์เน็ตยุคหน้าอย่าง Web 3.0 เป็นได้แค่คำเท่ๆ เท่านั้น แม้จะดูทรงพลังและหลากหลาย แต่ระบบนิเวศก็ดูซับซ้อนและเข้าใจยากเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป 

ผู้สร้าง Launchpad XYZ มองว่าปัญหานี้เป็นช่องว่างทางการตลาดที่พวกเขาสามารถเชื่อมโยงได้โดยใช้ Distributed Ledger ตามที่อธิบายไว้ในเอกสารข้อมูลของ Launchpad XYZ โดยใช้ประโยชน์จาก Blockchain เพื่อสร้างเกตเวย์ที่เข้าถึงง่ายใน Web 3.0

Launchpad XYZ คือทั้งหมดที่คุณต้องการเพื่อทำกำไรในตลาดแบบกระจายอำนาจ ตั้งแต่ NFT  และ Utility Token ไปจนถึง Presale Web 3.0 และเกม P2E โปรเจกต์นี้มีฟีเจอร์มากมายให้คุณเลือกใช้งาน 

ช่วยให้คุณตามทันความผันผวนของตลาดผ่านฟีดอย่าง Launchpad Quotient (LQ) 

ด้วยกระดานเทรด, Crypto Wallet, และเทอร์มินัลการซื้อขายจะช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลนี้และสร้างผลกำไรจากการลงทุนได้

โดยประโยชน์ข้างต้นจะทำให้ Launchpad มีผู้ใช้กว่า 10 ล้านคนภายในปี 2025 

หากต้องการเข้าร่วมสนับสนุนเป็นรายแรกๆ คุณสามารถติดตามเครือข่ายนี้ได้ที่ช่อง Telegram และซื้อโทเค็นหลัก LPX ในราคาพรีเซลล์ที่ 0.0445 ดอลลาร์ต่อเหรียญ

ไปยัง Launchpad XYZ ตอนนี้

5. DeeLance – เหรียญคริปโตต้นน้ำสำหรับฟรีแลนซ์ที่เปิดให้ซื้อในช่วงพรีเซลล์

ด้วย DeeLance ฟรีแลนซ์และลูกค้าจะสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มฟรีแลนซ์แบบกระจายอำนาจซึ่งสามารถทำให้สามารถชำระเงินได้ทันทีโดยใช้เหรียญคริปโต

นอกจากนี้ แพลตฟอร์มดังกล่าวยังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่ต่ำและมีความโปร่งใสมากกว่าคู่แข่งในตลาด โดยจะใช้ $DLANCE ในการทำธุรกรรม – ซึ่งเป็นโทเค็นหลักที่ขายในช่วงพรีเซลล์

$DLANCE มีอุปทานทั้งหมดเพียง 1 พันล้าน – 30% ได้รับการจัดสรรสำหรับรอบพรีเซลล์ ปัจจุบันโทเค็นมีราคาอยู่ที่ 0.038 ดอลลาร์ แต่จะเพิ่มขึ้นเป็น 0.05 ดอลลาร์ในพรีเซลล์รอบสุดท้าย

DeeLance จะนำเสนอแพลตฟอร์ม Metaverse ที่ฟรีแลนซ์สามารถเชื่อมต่อกับลูกค้าได้ โดยทั้งสองฝ่ายจะสามารถโต้ตอบผ่านพื้นที่สำนักงานและห้องประชุม

ด้วย $DLANCE สมาชิกสามารถซื้อที่ดินเสมือนและเช่าพื้นที่สำนักงานได้ พร้อมบริการชำระเงินเอสโครว์ เพื่อให้ฟรีแลนซ์ได้รับเงินหลังจากเสร็จงาน

ในการติดต่อกับทั้งสองฝ่ายอย่างสม่ำเสมอ DeeLance จะนำเสนอแชทบอท AI ด้วยเช่นกัน ฟรีแลนซ์สามารถสร้างผลงานของตนเป็น NFT ผ่านตลาด NFT เพื่อให้กระบวนการโอนกรรมสิทธิ์ง่ายขึ้น

ในตลาด NFT สมาชิกจะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าถึงแค็ตตาล็อก NFT และกิจกรรมโชว์ผลงานอื่นๆ เช่นกัน ดังนั้น พวกเขาสามารถใช้ $DLANCE เพื่อซื้อรายการ NFT อื่นๆ ได้

ที่สำคัญ DeeLance จะช่วยลดต้นทุนสำหรับทั้งฟรีแลนซ์และลูกค้าได้อย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับเอเจนซีฟรีแลนซ์ชั้นนำ เช่น Upwork และ Fiverr แล้ว DeeLance ถือว่ามีค่าคอมมิชชั่นและค่าธรรมเนียมต่ำที่สุด

โดยคิดค่าคอมมิชชั่นเพียง 10% จากฟรีแลนซ์และค่าธรรมเนียม 2% จากลูกค้า

นับตั้งแต่เริ่มพรีเซลล์ DeeLance ได้ระดมทุนมากกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ คุณสามารถอ่านเอกสารข้อมูลของ DeeLance และเข้าร่วมช่อง Telegram เพื่อศึกษาโปรเจกต์เพิ่มเติมได้

ไปยัง DeeLance ตอนนี้

6. Ecoterra – เหรียญคริปโตต้นน้ำแบบ Recycle2Earn ที่ให้รางวัลแก่ผู้ใช้สำหรับการรักษาสิ่งแวดล้อม

Ecoterra เป็นแพลตฟอร์มคริปโตมาใหม่ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ธุรกิจและบุคคลทั่วไปรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยจะแจกจ่ายโทเค็น $ECOTERRA ซึ่งเป็นโทเค็นหลักให้เป็นรางวัล

ปัจจุบันโทเค็น $ECOTERRA เปิดขายในราคา $0.0085 และระดมทุนได้มากกว่า $4.5 ล้านในปัจจุบัน

$ECOTERRA มีอุปทานทั้งหมด 200 พันล้านโทเค็น – 800 ล้านโทเค็นได้รับการจัดสรรสำหรับการพรีเซลล์ ในทั้งหมด 9 รอบ โทเค็นเหล่านี้จะถูกแจกจ่ายให้กับนักลงทุนในช่วงพรีเซลล์

ในรอบสุดท้าย ราคาจะพุ่งไปที่ $0.01 ซึ่งเพิ่มขึ้น 17.6% จากราคาเดิม

หนึ่งในองค์ประกอบหลักของ Ecoterra คือแอพพลิเคชัน Recycle2Earn ที่ใช้ได้กับเครื่องรับซื้อบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล (RVM) ทั้งหมดทั่วโลก เพื่อให้ผู้คนนับล้านสามารถเข้าถึงระบบนิเวศได้

ทุกครั้งที่ผู้ใช้รีไซเคิลขยะโดยใช้ RVM ก็จะสามารถสแกนธุรกรรมบนแอพ EcoTerra เพื่อรับรางวัลเป็นเหรียญ $ECOTERRA ได้ฟรี

คุณยังสามารถเข้าถึงตลาดการชดเชยคาร์บอนและซื้อเครดิตคาร์บอนที่ตรวจสอบแล้ว (VCU) ด้วย $ECOTERRA โดย 1 คาร์บอนเครดิตถือเป็นการปล่อยมลพิษจำนวนมากที่ต้องกำจัดออกจากสิ่งแวดล้อม

ทุกครั้งที่สมาชิกซื้อเครดิต เหรียญคริปโตที่ยั่งยืนที่สุดนี้จะให้ความสำเร็จซึ่งจะถูกแปลงเป็น NFT 

ด้วยโทเค็น $ECOTERRA ที่คุณถืออยู่ คุณสามารถใช้โทเค็นเหล่านี้ในการเริ่มดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น การทำความสะอาดมหาสมุทรและการปลูกต้นไม้

บริษัทต่างๆ ยังสามารถเข้าถึงตลาดวัสดุรีไซเคิลของ Ecoterra ซึ่งพวกเขาสามารถเชื่อมต่อกับผู้รีไซเคิลได้ โดยสามารถทำธุรกรรมระหว่างทั้งสองฝ่ายโดยใช้เหรียญ $ECOTERRA

นักลงทุนที่สนใจสามารถซื้อโทเค็นได้ตอนนี้ก่อนที่ราคาจะสูงขึ้นในรอบถัดไป

หากต้องการศึกษารู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Ecoterra โปรดเข้าร่วมช่อง Telegram และอ่านเอกสารข้อมูล

ไปยัง Ecoterra Presale ตอนนี้

วิธีหาเหรียญคริปโตต้นน้ำที่ดีที่สุด

ปัจจัยสำคัญในการหาเหรียญคริปโตต้นน้ำในปี 2023

• ตรวจสอบแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น Telegram และ Twitter เพื่อตามหาเหรียญที่น่าซื้อ
• มุ่งเน้นไปที่กรณีการใช้งานที่แปลกใหม่ในตลาด
• เหรียญคริปโต Pre-sale และ ICO มักจะเป็นเหรียญต้นน้ำที่มีราคาถูก
• ตามหาแพลตฟอร์มที่สามารถใช้งานได้จริงในตลาดและมีโอกาสเติบโตสูง
• ศึกษาตลาดในปัจจุบัน

แน่นอนว่าการหาเหรียญต้นน้ำ Binance หรือจากกระดานเทรดอื่นๆ ในตลาดอาจเป็นเรื่องยาก ด้วยตลาดที่ผันผวนและเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยหัวข้อด้านล่างจะอธิบายวิธีการค้นหาเหรียญคริปโตต้นน้ำที่มีโอกาสเติบโตในตลาด:

มุ่งเน้นไปที่โอกาสการเติบโต

สิ่งสำคัญที่สุดของการลงทุนในเเหรียญต้นน้ํา น่าสนใจก็คือการมุ่งเน้นไปที่โอกาสการเติบโต เนื่องจากเหรียญส่วนใหญ่จะเป็นโปรเจกต์ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น ทำให้เป็นโอกาสที่ดีในการซื้อเหรียญในราคาถูก ดังนั้น นักลงทุนจะต้องศึกษาและวิเคราะห์ว่าโปรเจกต์นั้นๆ สามารถนำไปต่อยอดและมีโอกาสเติบโตในอนาคตมากแค่ไหนนั่นเอง

เช่น หากมีการเปิดตัวเหรียญใหม่ในตลาดมีม เช่น Wall Street Memes ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่กำลังได้รับความนิยมและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ประกอบกับมีการพูดถึงโดยคนดังอย่าง Elon Musk จึงถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นลงทุน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้เช่นกัน

มองหาโปรเจกต์ที่มีกรณีการใช้งานที่ไม่เหมือนใคร

เหรียญคริปโตต้นน้ำมักจะมีกรณีการใช้งานที่เหมือนๆ กัน แต่เหรียญที่เราแนะนำในบทความนี้ล้วนมีกรณีการใช้งานที่เป็นจุดเด่นของตัวเอง ตัวอย่างเช่น AiDoge ที่สามารถสร้างมีมเจ๋งๆ ได้ด้วย Ai ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตอนนี้

ค้นหาเหรียญที่อยู่ในช่วงพรีเซลล์

เหรียญคริปโตต้นน้ำที่น่าซื้อควรจะอยู่ในช่วงพรีเซลล์รอบต้นๆ เพื่อให้นักลงทุนในซื้อเหรียญในช่วงที่มีราคาถูกที่สุด โดยหลังจากเหรียญถูกลิสต์ลงกระดานเทรด ส่วนใหญ่เหรียญจะมีมูลค่ามากขึ้น ทำให้การซื้อเหรียญในช่วงพรีเซลล์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีในการเริ่มลงทุน

โดยแม้ว่าเหรียญในช่วงพรีเซลล์จะมีราคาที่ถูกจนแทบจะแจกฟรีได้เลย แต่ก็อย่าดูถูกเหรียญเหล่านั้นไป โดย Tamadoge ถือเป็นตัวอย่างชั้นยอดสำหรับเหรียญพรีเซลล์ที่มีราคาถูก และเมื่อเหรียญถูกลิสต์ลงกระดานเทรดก็สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้แบบมหาศาลกันเลยทีเดียว 

ใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์

ใครที่สงสัยว่าลงทุนอะไรดีตอนนี้? ก็ควรใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แม้ว่าจะฟังดูเป็นเรื่องทั่วไป แต่โซเชียลมีเดียวก็ถือเป็นช่องทางในการหาเหรียญที่มีคุณภาพสูงในช่วงต้นที่กำลังสร้างผลตอบแทนให้กับนักเทรดอย่างต่อเนื่อง

โดยโปรเจกต์อย่างที่จัดอันดับไว้ถือเป็นตัวอย่างที่สำคัญ เนื่องจากได้สร้างคอมมิวนิตี้ที่มั่นคงทั้งบน Twitter และ Telegram โดยคอมมิวนิตี้เหล่านี้ถือว่ามีความสำคัญเพราะจะเป็นการสร้างฐานความต้องการเหรียญอย่างต่อเนื่องและเป็นรากฐานสำหรับการเติบโตของราคาในอนาคต

เข้าใจสภาวะตลาด

แน่นอนว่าเหรียญคริปโตต้นน้ำนั้นมีความผันผวนสูงและการทำความเข้าใจสภาวะตลาดจะทำให้นักลงทุนสามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้โดยไม่ตื่นกลัว ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการซื้อเหรียญในช่วงต้นๆ นั่นเอง

ตัวอย่างเช่นการล่มสลายของ FTX ที่เป็นตัวอย่างของการทำความเข้าใจตลาด โดยแม้ว่าเหรียญหลักๆ อย่าง BTC และ ETH จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่มูลค่าของเหรียญดังกล่าวก็ได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นเดียวกัน โดยไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในตลาด สิ่งสำคัญคือจะต้องอดทนรอจนตลาดกลับมาปกติ จึงค่อยเริ่มลงทุน 

บทสรุป – เหรียญคริปโตต้นน้ำที่ดีที่สุด

บทความนี้ได้เจาะลึกถึงเหรียญคริปโตต้นน้ำที่ดีที่สุดในตอนนี้ โดยเน้นไปที่โปรเจกต์ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง สำหรับคนที่กำลังมองหาซื้อเหรียญคริปโต

โดยหนึ่งในเหรียญคริปโตที่น่าจับตามองในปี 2023 คือ Wall Street Memes เหรียญต้นน้ํา crypto ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต ด้วยคอมมิวนิตี้ขนาดใหญ่และประสิทธิภาพของคอลเล็กชัน NFT เมื่อปี 2021 นักเทรดหลายคนจึงคาดหวังว่าพรีเซลล์ของ Wall Street Memes จะเติบโตอย่างสูงในอนาคต

การพรีเซลล์ของโทเค็น $WSB ได้เปิดตัวไปแล้วอย่างยิ่งใหญ่ โดยระดมทุนได้มากกว่า 2 ล้านดอลลาร์ในเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ในตอนที่กำลังเขียน

Wall Street Memes (WSM) – เหรียญมีมใหม่ล่าสุด

ให้คะแนน

• คอมมูนิตี้ผู้ติดตามกว่า 1 ล้านคน
• เคยมีโปรเจกต์ NFT
• เปิดขายพรีเซลตอนนี้ – wallstreetmemes.com
• ระดมไปกว่า 300,000 USD ตอนวันเปิดตัว

ไปยังพรีเซล

การประเมินว่าเหรียญคริปโตที่น่าจับตามองในการลงทุนคืออะไร ก็อาจเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (R:R)

หรือก็คือคุณรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหนเพื่อทำกำไร โดยเหรียญ Altcoin นอกเหนือจาก Bitcoin และ Ethereum เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง แต่ก็มีโอกาสทำกำไรสูงเช่นกัน

เหรียญคริปโตที่น่าจับตามองคืออะไร?

ด้านล่างคือภาพรวม 10 เหรียญคริปโตที่น่าจับตามองในปี 2023

1. Wall Street Memes – Wall Street Memes เป็นธุรกิจบล็อกเชนที่ใช้ประโยชน์จากวัฒนธรรมมีมเพื่อเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกตลาดการเงิน โครงการที่กำลังเติบโตนี้ระดมทุนได้มากกว่า 4 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐในช่วงเปิดขายเพียงสองสัปดาห์
2. Launchpad XYZ – แดชบอร์ดนวัตกรรมใหม่แบบครบวงจรสำหรับ Web 3.0 ระดมทุนได้ 140,000 ดอลลาร์เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิด Pre-sale
3. Ecoterra – เหรียญคริปโตรักษ์โลกและให้รางวัลแก่ผู้ใช้สำหรับการรีไซเคิล ระดมทุนได้กว่า 2 ล้านเหรียญแล้ว
4. yPredict – แพลตฟอร์มการวิเคราะห์ใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี AI และข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อสร้างแบบจำลองการคาดการณ์ราคา Pre-sale ระดมทุนมากกว่า $430,000
5. DeeLance (DLANCE) – แพลตฟอร์มคริปโต Web 3.0 นวัตกรรมใหม่ที่ต้องการปฏิวัติวิธีเชื่อมต่อระหว่างฟรีแลนซ์และนายจ้างโดยใช้ Blockchain โดย Pre-sale ระดมไปแล้วกว่า $500,000 USDT
6. AiDoge – แพลตฟอร์มสร้างมีมด้วย AI ในช่วง Pre-sale เป็นเหรียญคริปโตน่าจับตามองที่รองรับการ Staking และให้รางวัลมากมายสำหรับนักสร้างมีมที่เก่งที่สุด
7. Love Hate Inu – แพลตฟอร์มมีมที่ให้รางวัลแก่ผู้ใช้ในระบบ Vote to Earn ระดมทุนได้มากกว่า 6 ล้านดอลลาร์ในช่วง Pre-sale
8. RobotEra – เกมแนว Play-to-earn game ที่ผู้ใช้สามารถสร้างและขายภายใน metaverse ที่นำโดยหุ่นยนต์ ยอดขายพรีเซลในช่วงแรกสามารถระดมทุนได้มากกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์
9. Tamadoge – เหรียญมีม Play to Earn ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Tamagotchi ซึ่งผู้เล่นสามารถผสมพันธุ์สัตว์เลี้ยงและรับรางวัลมากมาย
10. Lucky Block – คาสิโนคริปโตมาแรงที่ผู้ใช้สามารถเล่นสล็อตและโป๊กเกอร์ พร้อมสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลบิทคอยน์มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์

ไปยัง Wall Street Memes ตอนนี้

รีวิวเหรียญคริปโตที่น่าจับตามอง

เหรียญอันดับต้นๆ ของเราคือโปรเจกต์คริปโตใหม่ๆ ที่มีโอกาสเติบโต ทั้งในช่วง Pre-sale และเมื่อเปิดตัว เนื่องจากการลงทุนที่จุดราคาต่ำก็มักจะสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีกำไร หรือก็คือซื้อให้ถูก ขายให้แพง

นักลงทุนส่วนใหญ่จะซื้อเหรียญในช่วงตลาดขาขึ้นที่แท่งเทียนเป็นสีเขียว แทนที่จะใช้เวลาศึกษา Private Sale, Pre-sale, หรือเหรียญ ICO

1. Wall Street Memes – แพลตฟอร์มเหรียญคริปโตมีมมาใหม่ที่มีเป้าหมายเพื่อปฏิวัติระบบทุนนิยมสมัยใหม่

Wall Street Memes เป็นโครงการบล็อกเชนใหม่ล่าสุดที่นำพาตลาดคริปโตวิ่ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ด้วยโทเค็นของแพลตฟอร์ม $WSM ซึ่งเป็นเหรียญมีม โปรเจกต์นี้ได้รับความนิยมจากเหรียญอื่นที่คล้ายกันอย่าง Pepe ซึ่งราคาพุ่งในเดือนเมษายน 2023

Wall Street Memes เป็นโครงการที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก GameStop saga ในปี 2021 เมื่อนักลงทุนรายย่อยจัดการสถาบันการเงินขนาดใหญ่จาก Wall Street โดยโครงการ Wall Street Memes มีจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิวัติวิธีที่นักลงทุนทั่วไปมีส่วนร่วมในตลาดการเงิน และใช้พลังของมีมเพื่อเอาชนะระบบทุนนิยมสมัยใหม่

ภารกิจของ Wall Street Memes คือการใช้มีมเพื่อส่งเสริมชุมชนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่บรรลุแล้ว โปรเจกต์นี้มีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียมากกว่าล้านคนแล้ว และช่องทางการของ Telegram ก็เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ไม่เพียงเท่านั้น แพลตฟอร์มดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ทรงอิทธิพลด้านคริปโตหลายคน รวมถึง Elon Musk กล่าวคือ ผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงได้โต้กลับกับบัญชีของเหรียญ meme บน Twitter หลายครั้ง เพื่อแสดงการสนับสนุนโครงการ

เหตุการณ์เหล่านี้และความคลั่งไคล้เหรียญมีมในปี 2023 ทำให้ความนิยมของโปรเจกต์เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ Wall Street Memes สามารถรวบรวมเงินได้มากกว่า 4 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเพียงสองสัปดาห์ของการขายรอบพรีเซล ซึ่งทำให้เป็นหนึ่งในเหรียญคริปโตที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2023

การขายรอบพรีเซลมีทั้งหมด 30 รอบ และราคาของโทเค็นจะเพิ่มขึ้นตามแต่ละรอบ ขณะนี้คุณสามารถซื้อโทเค็นได้ในราคาเพียง $0.0274 เนื่องจากยังอยู่ในช่วงการขายรอบพรีเซล หากคุณสนใจเข้าร่วมกระแสของเหรียญนี้ โปรดอ่านเอกสารข้อมูลของโครงการเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนงานและโทเค็นโนมิกส์ เพื่อให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูล

ไปยัง Wall Street Memes ตอนนี้

2. Launchpad XYZ – เหรียญคริปโตที่มีโอกาสเติบโต พร้อมใช้แดชบอร์ด Web 3.0 เพื่อปฏิวัติวงการ

Launchpad XYZ เป็นแดชบอร์ดใหม่แบบครบวงจรในวงการ Web 3.0 ทีมงาน Launchpad XYZ มองเห็นโอกาสในการทำให้ Web 3.0 เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและไม่ยุ่งยากสำหรับนักลงทุนทั่วไป 

อินเทอร์เฟซยังเรียบง่ายสำหรับลงทุนรายใหม่ และยังให้เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์สามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลยิ่งขึ้น โดย Decentralized Exchange​ จะให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของเหรียญคริปโตที่น่าซื้อที่สุด ให้แลกเปลี่ยนโทเค็น และให้บริการเกม Play to Earn โหมดเบต้า พร้อมฟีเจอร์อื่นๆ อีกมากมาย

หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ Launchpad Quotient (LQ) ซึ่งเป็นคะแนนความเสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ใช้ในการตัดสินใจว่าจะลงทุนในโปรเจกต์ในอนาคตหรือไม่ โดยตัวเลขนี้มาจากจุดข้อมูลมากกว่า 400 จุด ที่สร้างขึ้นโดย AI เพื่อให้แม้แต่นักเทรดมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้ Web 3.0 มีเครื่องมือที่ใช้เพื่อช่วยในการตัดสินใจได้จริง

​ผู้ใช้จะต้องใช้หมายเลขโทรศัพท์หรืออีเมลเพื่อใช้งาน Launchpad Web 3.0 Wallet เท่านั้น ซึ่งใช้เพื่อแลกเปลี่ยนโทเค็น, ใช้งานกับ DApps, และเข้าถึง Web 3.0 ได้จากทุกที่ โดยฟีเจอร์เพิ่มเติมคือการจัดระเบียบโทเค็น, ศูนย์เกม Play to Earn, และไลบรารีโลก Metaverse

ผู้ใช้จะมีแรงจูงใจในการ Stake $LPX เพื่อลดค่าธรรมเนียม, การสร้าง NFT, และอื่นๆ และเพื่อเข้าถึงสิทธิประโยชน์ทั้งหมด ต้องมีการ Stake อย่างน้อย 10,000 $LPX สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เอกสารข้อมูล Launchpad

Launchpad XYZ ยังให้ความโปร่งใสว่ามีใครอยู่ในทีมบ้าง โดย CEO อย่าง ​Terence Ribaudo ก็มีประสบการณ์กว่า 10 ปีในวงการ Web 3.0 ตลอดจนผลงานในการสร้างแบรนด์ และสมาชิกในทีมหลักทั้งหมดก็มีโปรไฟล์ LinkedIn แบบสาธารณะ

โทเค็น LPX หนึ่งพันล้านเหรียญถูกสร้างขึ้นแล้ว โดย 25% ของโทเค็นเหล่านี้เปิดขายในช่วง Pre-sale โดยไม่มีการทยอยให้เหรียญ ส่วนผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ระดับพรีเมียมจะต้องซื้อโทเค็นอย่างน้อย 10,000 เหรียญ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม อ่านรีวิวฉบับละเอียดได้ที่วิธีซื้อ Launchpad XYZ และเข้าร่วมกลุ่ม Telegram Launchpad XYZ สำหรับการอัพเดทล่าสุด

ไปยัง Launchpad XYZ ตอนนี้

3. Ecoterra – เหรียญคริปโตรักษ์โลกที่มีโอกาสเติบโต พร้อมเสนอรางวัลการรีไซเคิลชั้นนำในตลาด

Ecoterra เป็นแพลตฟอร์ม Recycle2Earn (R2E) โดยระบบรางวัล R2E ได้รับอิทธิพลจากคอนเซ็ปต์ Play-to-Earn (P2E) ที่เป็นที่นิยม

ซึ่งกลไก R2E จะให้ผู้เข้าร่วมได้รับโทเค็นเมื่อรีไซเคิล ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเหรียญคริปโตที่น่าจับตามองนกลุ่มเหรียญรักษ์โลก

ปัจจุบัน โทเค็น $ECOTERRA มีมูลค่า $0.004 USDT ต่อโทเค็น โดยสามารถซื้อได้จากเว็บ Pre-sale โดยใช้ Ether/USDT หรือบัตรเครดิต โดยมูลค่าปัจจุบันของ $ECOTERRA อยู่ที่ 0.004 USDT เท่านั้น แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.01 USDT เมื่อเหรียญถูกลิสต์

เป้าหมายหลักของ Ecoterra คือการส่งเสริมการรีไซเคิลและการรักษ์โลก โดยผู้ใช้สามารถสะสมคะแนนสำหรับความพยายามในการรีไซเคิลได้เมื่อทำภารกิจผ่านแอพ

ตามเอกสารข้อมูล Ecoterra ผู้เข้าร่วมต้องสแกนบาร์โค้ดของสินค้าที่ต้องการรีไซเคิลก่อน จากนั้นแอพจะอิงฐานข้อมูลเพื่อกำหนดรางวัลที่เป็นไปได้ของสินค้านั้นๆ เมื่อให้ภาพใบเสร็จแล้ว ผู้ใช้จะถูกแนะนำไปยังเครื่องรับซื้อบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล (RVM)

ภายใน Recycled Materials Marketplace ของ Ecoterra ผู้ใช้สามารถใช้โทเค็น Ecoterra เพื่อซื้อพลาสติกรีไซเคิล แก้ว และอะลูมิเนียม และยังสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้โดยการซื้อคาร์บอนออฟเซ็ตที่ตรวจสอบแล้วจาก Carbon Offset Marketplace

พร้อมมี Impact Trackable Social Profile ที่ให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบผลลัพธ์ของการดูแลระบบนิเวศของ Ecoterra

ผู้ใช้ยังได้รับการกระตุ้นให้เข้าร่วมกลุ่ม Ecoterra Telegram เพื่อรับอัพเดทและข้อมูลได้ตลอดเวลา

ไปยัง Ecoterra Presale

4. yPredict – เหรียญคริปโตวิเคราะห์ตลาดโดยใช้ AI

yPredict เป็นแพลตฟอร์มที่รวมเอาการวิเคราะห์เหรียญคริปโต การวิจัย และ AI เข้าด้วยกัน โดยโมเดลการวิเคราะห์ได้มาจากทั้ง AI และนักพัฒนาระดับสูงเพื่อให้นักลงทุนเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับอนาคตของตลาดคริปโต โดยมีเป้าหมายคือการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่มีรายละเอียดสูงให้กับเทรดเดอร์

โทเค็น $YPRED เปิดขาย Pre-sale เพื่อให้ผู้ใช้สามารถรับโมเดลการวิเคราะห์ได้หลายแบบ ทั้งยังสามารถใช้เป็นส่วนลดสำหรับบางขั้นต่ำ เช่น เครื่องมือวิเคราะห์ แพลตฟอร์มการคาดการณ์ ที่เก็บข้อมูล และอื่นๆ โดยราคาซื้อขั้นต่ำคือ $250

ผู้ถือโทเค็น $YPRED จะสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มการวิเคราะห์และโมเดลต่างๆ ได้ฟรี โดยโมเดล AI ถูกสร้างขึ้นโดยนักพัฒนาและนักวิเคราะห์ชั้นนำในวงการ AI ทำให้ yPredict เป็นแพลตฟอร์มสุดพิเศษที่มีประสบการณ์ระดับสูงในโลก AI 

ฟีเจอร์ Learn to Earn จะนำเสนอแบบทดสอบที่ผู้ใช้สามารถทดสอบความรู้ด้านเหรียญคริปโตได้ และฟีเจอร์ Play to Earn จะให้เทรดเดอร์เดิมพันว่าสินทรัพย์ต่างๆ จะเป็นอย่างไรในอนาคต ด้วยฟีเจอร์ทั้งสองนี้ ใครที่ทำคะแนนได้สูงจะได้รับรางวัลเป็นโทเค็น $YPRED

โดย Staking Pool ของ yPredict จะแจกจ่าย 10% จากเหรียญของคนที่ Stake ใหม่ให้กับผู้ใช้แพลตฟอร์ม โดย แพลตฟอร์มจะเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม $YPRED ซึ่ง 15% จะถูกแบ่งให้กับผู้ถือโทเค็น

โทเค็นมีจำนวนเพียง 100 ล้านโทเค็น โดย 80 ล้านโทเค็นเปิดขาย Pre-sale โดย $YPRED สร้างขึ้นบน Polygon Blockchain ที่นอกจากจะมีความเร็วสูงแล้ว ยังมีความสามารถในการขยายเครือข่าย และให้ประสบการณ์กับนักพัฒนาที่ยอดเยี่ยมขึ้น รายละเอียดเพิ่มเติมที่ทำให้ yPredict ไม่เหมือนใครมีอยู่ในบทความวิธีซื้อ yPredict ฉบับละเอียด

โปรดอ่านเอกสารข้อมูล yPredict และเข้าร่วมช่อง yPredict Telegram สำหรับ Pre-sale และข่าวสารการอัพเดทล่าสุด

ไปยัง yPredict Presale

5. DeeLance (DLANCE) – ปฏิวัติการจ้างงานและฟรีแลนซ์ใน Web 3.0

DeeLance เป็นอีกหนึ่งเหรียญคริปโตที่น่าซื้อในตอนนี้ เพราะจะมาปฏิวัติการจัดหางานและฟรีแลนซ์

โปรเจกต์ดังกล่าวเพิ่งเปิด Pre-sale รอบแรกและจะเป็นแพลตฟอร์มที่ทั้งธุรกิจและคนทั่วไปสามารถเชื่อมต่อเพื่อการทำงานได้ง่ายขึ้น ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

DeeLance จะพัฒนากระบวนการทั้งหมดและตัดตัวกลางที่มีค่าบริการแพงๆ ออกไป และนำโลกแห่งการจ้างงานจาก Web 2.0 มาสู่ Web 3.0

แพลตฟอร์ม DeeLance จะใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อเร่งความในกระบวนการ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และโปร่งใสมากขึ้น โดยทั้งสองฝ่ายจะสามารถแสดงความคิดเห็นเป็นสาธารณะ และใช้เอสโครว์ในการชำระเงินเพื่อรับประกันว่าจะได้รับเงินเมื่องานเสร็จสิ้นตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่ตกลงกันไว้

ธุรกรรมทั้งหมดใช้สัญญาอัจฉริยะ และจะเปลี่ยนงานให้เป็น NFT เพื่อให้ผู้จ้างเป็นเจ้าของงานที่จ่ายไปและป้องกันปัญหาต่างๆ เช่น การฉ้อโกงการชำระเงินหรือการละเมิดลิขสิทธิ์

DeeLance เคลมว่าจะมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าแพลตฟอร์ม Web 2.0 ที่คล้ายๆ กัน และทำให้การชำระเงินเสร็จสิ้นทันทีและปลอดภัยยิ่งขึ้นผ่าน Blockchain เพราะไม่มีการแลกเปลี่ยนสกุลเงินให้ต้องกังวลเรื่องค่าคอมมิชชั่น

โครงการยังมีโลก Metaverse ที่ผู้ใช้ (ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าจ้างหรือฟรีแลนซ์) สามารถซื้อที่ดิน สำนักงานเสมือน และใช้โฆษณาได้

Metaverse จะมีพื้นที่ชุมชนที่ใช้ร่วมกันสำหรับฟรีแลนซ์เพื่อสร้างเครือข่ายและทำงานร่วมกันภายใต้ไอเดียและข้อเสนอใหม่ๆ DeeLance ได้รับการพัฒนาและยืนยัน KYC และเพิ่งเปิดตัวโทเค็น DLANCE ในช่วง Pre-sale เท่านั้น

ตอนนี้ โทเค็นขายในราคา $0.029 และจะเพิ่มขึ้นเป็น $0.048 ในรอบที่ 6 พร้อมโปรแกรมแนะนำเพื่อน – โดยระดมทุนได้มากกว่า $474,000 นับตั้งแต่เปิดตัว

อ่านเอกสารข้อมูล DeeLance หรือเข้าร่วมกลุ่ม Telegram สำหรับข้อมูลและข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับโปรเจกต์

ไปยัง DeeLance Presale ตอนนี้

6. AiDoge – เหรียญคริปโตน่าลงทุนที่สุดในปี 2023 โดยมุ่งเน้นที่ระบบ + ยูทิลิตี้

ปัจจุบัน AI และมีมเป็นเรื่องที่มาแรงสุดในโลก และ AiDoge รวมทั้งสองสิ่งเป็นบริการเฉพาะที่เน้นการสร้างมีมด้วย AI โดยผู้ใช้จะสามารถสร้างมีมได้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีโดยการป้อนข้อความลงไปและ AiDoge จะเลือกรูปภาพและเขียนข้อความตลกและน่าสนใจ โดยอิงตามรูปแบบมีมที่เป็นที่นิยม

โดยผู้ถือยังสามารถ Stake และล็อก $AI บนแพลตฟอร์มและรับรางวัลเครดิตรายวันได้ ซึ่งรางวัลจะแปรผันตามเหรียญที่นำไป Stake และผู้ใช้จะได้โหวตให้กับมีมที่ถูกสร้าง โหวตมีมที่ดีที่สุดให้กับศิลปินที่สมควรได้รับ

ฟีเจอร์เหล่านี้ทำให้ AiDoge มีรากฐานที่มั่นคงสำหรับการสร้างชุมชนขนาดใหญ่ ซึ่งกลุ่ม Telegram ก็ถือว่าคึกคักไม่น้อย

ทั้ง AI และเหรียญมีม (เช่น The Graph, Singularity และ PepeCoins) ได้สร้างผลตอบแทนสูงเมื่อเร็วๆ นี้ และนี่เป็นหนึ่งในไม่กี่โปรเจกต์ที่นำเทรนด์ทั้งสองมารวมกัน และก็ไม่ใช่เพื่อประโยชน์เหรียญเองแต่อย่างใด (เช่น Arb Doge AI) — แต่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มียูทิลิตี้จริง ซึ่งก็คือการสร้างมีม 

นักลงทุนที่พลาด Pepe Coin และ Wojak สามารถเริ่มต้นกับ AiDoge ได้เพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดย Pre-sale มีทั้งหมด 20 รอบ และราคาปัจจุบัน (เริ่มต้น) ที่ 0.000026 ดอลลาร์ โดยราคาลิสต์เหรียญอยู่ที่ 0.0000336 ดอลลาร์ เอกสารข้อมูล AiDoge อธิบายว่าจะมีทั้งหมด 1 ล้านล้านเหรียญ Ai และ 50% ของเหรียญจะเปิดขายในช่วง Pre-sale โดยปัจจุบัน โปรเจกต์ระดมทุนได้ประมาณ 998,000 ดอลลาร์

แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่จะวิเคราะห์ประวัติราคาของ $Ai เนื่องจากเป็นโทเค็นมาใหม่ และไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปในระยะยาวได้ จึงยากที่จะคาดการณ์เหรียญแนวโน้มราคาเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนบางส่วนท้อใจ

แม้ทีมงานจะไม่เปิดเผยตัวตน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกในวงการคริปโต (เริ่มต้นด้วย Satoshi Nakamoto) และก็ถือเป็นปกติสำหรับเหรียญมีม

ไปยัง Ai Doge Presale

7. Love Hate Inu – เหรียญคริปโต Vote to Earn มีโอกาสเติบโตที่น่าซื้อในช่วง Pre-sale

เหรียญคริปโตที่น่าจับตามองอันดับ 2 ในปี 2023 คือ Love Hate Inu แพลตฟอร์มคริปโตโหวตออนไลน์บน Ethereum Blockchain แห่งแรก โดยจะให้ผู้ใช้โหวตหัวข้อทั่วโลกโดยใช้เหรียญ $LHINU ซึ่งเป็นโทเค็นหลัก 

เนื่องจากมูลค่าตลาดการโหวตออนไลน์ทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 3.2 พันล้านดอลลาร์เป็น 5.69 พันล้านดอลลาร์ในปี 2027 และอาจเป็นโปรเจกต์ที่มีข้อได้เปรียบจากการเป็นแพลตฟอร์มคริปโตเดียวในวงการ 

สมาชิกสามารถ Stake $LHINU เพื่อเข้าถึงสิทธิ์ในการโหวต ซึ่งอาจเกี่ยวกับการเมือง ความบันเทิง หรือประเด็นทางสังคม ตลอดจนความสนุกสนานและมีมที่คู่ควร 

เอกสารข้อมูล Love Hate Inu ระบุว่าเวอร์ชันทดลองจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 2 ปี 2023 ก่อนการเปิดตัวของอินเทอร์เฟซผู้ใช้ หลังจากโหวต ผู้ใช้จะได้รับรางวัลเป็นโทเค็น $LHINU ฟรีๆ 

ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 Love Hate Inu จะเปิดตัวแพลตฟอร์มการส่งคะแนนโหวตเพื่อให้ผู้ใช้โฮสต์และสร้างแบบสำรวจและมีชุมชนตัดสินใจว่าจะโหวตหรือไม่

โปรเจกต์ใช้กลไกการ Staking แบบเรียลไทม์เพื่อไม่ให้เกิดการไม่ฉ้อโกงแบบไม่ระบุตัวตน โดยผู้ใช้จำเป็นต้อง Stake โทเค็นอย่างน้อย 30 วันเพื่อโหวต

โดย Love Hate Inu จะให้ผลลัพธ์ที่ยุติธรรม พิสูจน์ได้ และปลอดภัย ไม่มีการโกงจากบอทสแปมของกลุ่ม ‘แฮ็กเกอร์’

ทั้งยังร่วมมือกับโปรเจกต์และแบรนด์ Web 3.0 อื่นๆ เพื่อจัดเตรียมโพสต์ที่ได้รับสปอนเซอร์ ซึ่งให้รางวัลสุดพิเศษสำหรับผู้โหวต

เหรียญคริปโตน่าจับตามองนี้เริ่มต้นบินได้ตั้งแต่เปิดตัว Pre-sale ในเดือนมีนาคม 2023 – ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เหรียญก็ระดมทุนได้มากกว่า $550,000 แล้ว 

ใน Pre-sale รอบแรก  $LHINU มีราคาอยู่ที่ 0.000105 ดอลลาร์ แต่รอบที่ 8 และรอบสุดท้ายจะมีราคา 0.000145 ดอลลาร์ 

ดังนั้น นักลงทุนสามารถซื้อโทเค็นนี้ได้ในช่วงแรกก่อนที่ราคาจะเพิ่มขึ้น

จากอุปทานทั้งหมด 100,000 ล้านเหรียญ 90,000 ล้านเหรียญ0จะเปิดขายแบบเท่าๆ กันใน Pre-sale ทั้ง 8 รอบ​ โดยเหรียญมาแรงนี้ยังมีผู้ติดตาม Twitter มากกว่า 30,000 คนและสมาชิก 10,000 คนบนช่อง Telegram อีกด้วย 

ไปยัง Love Hate Inu Presale

8. RobotEra – เหรียญคริปโตแห่งโลก Metaverse ที่กำลังจะเปิดตัว เปิดขายพรีเซลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022

นอกจากนี้ยังมีให้ซื้อในช่วงพรีเซลล์ในขณะนี้ TARO เป็นสกุลเงินดิจิทัลของระบบนิเวศเสมือนจริงที่มีลักษณะคล้ายมัลติเวิร์สที่ใช้ร่วมกันของ RobotEra

ตามรายงานของ McKinsey & C0. metaverse มีศักยภาพที่จะกลายเป็นอุตสาหกรรมมูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 – RobotEra ตั้งเป้าหมายที่จะเข้าถึงตลาดเฉพาะ metaverse ยอดนิยมนี้ โดยแข่งขันกับเกมอย่าง Decentraland และ The Sandbox

RobotEra จะให้ผู้เล่นเข้าถึงโลกเสมือนจริงที่เรียกว่า ‘Taro Planet’ ซึ่งจะมี NFT Robots, แปลงที่ดิน NFT, ชุมชนที่กระจายอำนาจและการแข่งขันทั่วทั้งชุมชน

ผู้เล่นมีส่วนร่วมในฐานะหุ่นยนต์ NFT อวตาร – ซึ่งมีอุปทานจำกัดสูงสุด 10,000 NFT จากนั้น Land จะถูกสร้างเป็น NFTs บนแพลตฟอร์ม และพัฒนาเพื่อขุดทรัพยากร และสร้างโลกในเกม

ผู้เล่นสามารถสร้างรายได้จากการจัดกิจกรรมภายในระบบนิเวศ การ stake เหรียญ TARO เพื่อรับรายได้แบบพาสซีฟ และแม้แต่การโฆษณาภายในเมตาเวิร์ส ผู้ที่ทำการ stake TARO ยังสามารถเข้าร่วม DAO ของเกมเพื่อรับสิทธิ์ในการโหวตและตัดสินใจสำหรับแพลตฟอร์ม

แผนงานของ RobotEra ระบุว่าโครงการจะสร้างแพลตฟอร์ม alpha metaverse พร้อมรองรับเกม VR ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2023

เหรียญคริปโตที่น่าจับตามองนี้กำลังอยู่ในช่วงขายรอบพรีเซล และจนถึงตอนนี้สามารถระดมทุนได้มากกว่า $1.2 ล้าน

ดำเนินการสามรอบ ราคา TARO จะเพิ่มขึ้นเป็น $0.032 ในรอบสุดท้าย การขายรอบพรีเซลจัดสรรโทเค็นทั้งหมด 270 ล้านโทเค็นให้กับนักลงทุนรายแรกๆ – คิดเป็น 15% ของอุปทานทั้งหมด

อ่านเอกสารข้อมูลของ RobotEra และเข้าร่วมช่อง Telegram เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ metaverse ใหม่ที่น่าตื่นเต้นนี้ นอกเหนือจากคำมั่นสัญญาแล้ว RobotEra ยังเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก LBank Labs ซึ่งเป็นหน่วยงาน incubator ของกระดานแลกเปลี่ยน LBank

ไปยัง RobotEra ตอนนี้

9. Tamadoge – เหรียญยูทิลิตี้มีมน่าเก็บที่นักลงทุนได้รับผลตอบแทน 18 เท่าในช่วงเหรียญ ICO

‘P2E Dogecoin’ หรือ Tamadoge (TAMA) เป็นเหรียญมีมที่มียูทิลิตี้เพิ่มเติมในการเป็นสกุลเงินในเกมและโทเค็นรางวัลสำหรับเกม NFT ที่กำลังจะเปิดตัว

ใครที่ติดตามวงการคริปโตจะรู้ว่าตลาดก็ไร้เหตุผลในบางครั้งและโทเค็นมีมใหม่ๆ ก็เป็นเหรียญคริปโตที่น่าซื้อกว่าโปรเจกต์จริงจังที่เน้นเทคโนโลยี Blockchain หรือแอพพลิเคชั่นในอุตสาหกรรม

เหรียญคริปโตที่มีโอกาสเติบโตสูงสุดดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะใช้ประโยชน์จากเหรียญมีมและยังมีกรณีการใช้งานเพื่อป้องกันการ ‘ลากไปเชือด’ เช่น Shiba Inu ที่มูลค่าเพิ่มขึ้น 52 ล้านเปอร์เซ็นต์ในหนึ่งปีและสูญเสียมูลค่าไปประมาณ 90%

โทเค็นมีมมอบผลกำไรเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากที่สุดเสมอ และนี่คือโอกาสในการลงทุนในเหรียญมีมที่มีโอกาสเติบโตก่อนเปิดตัวและกำลังเป็นกระแสในช่วงแรกๆ

TAMA มีปริมาณเงินคงที่สูงสุดเพียง 2 พันล้านโทเค็นและมียูทิลิตี้มากกว่าเหรียญมีมอย่าง Dogecoin

โทเค็น TAMA เป็นเชื้อเพลิงให้กับ Tamaverse ซึ่งเป็นระบบนิเวศ Play to Earn ที่มีมินิเกมสไตล์อาร์เคด 3 เกมจาก 5 เกมในตลาด รวมถึงเกม Tamadoge หลักและแอพเสมือนที่จะเปิดตัวภายในปี 2023

เกมหลักได้รับแรงบันดาลใจจาก Tamagotchi ในยุค 90 ที่ผู้เล่นจะได้ผสมพันธุ์สัตว์เลี้ยงของตนและต่อสู้กับผู้เล่นคนอื่นเพื่อรับรางวัล

การเผาโทเค็น 5% ทิ้งจะเกิดขึ้นใน Pet Store ซึ่งผู้เล่นซื้อทรัพย์สินต่างๆ เช่น อาหาร ของเล่น และขนมเพื่ออัพเกรดและดูแลเหล่าสัตว์เลี้ยงได้

เข้าร่วมกลุ่ม Telegram ที่มีสมาชิกกว่า 23,000 คน (แอดมินจะไม่ DM หาคุณก่อน) หรืออ่านเอกสารข้อมูลที่ลิงก์ด้านล่าง

ซื้อ Tamadoge บน OKX CEX

10. Lucky Block – คาสิโนคริปโตและสปอร์ตบุ๊คชั้นนำในตลาด

Lucky Block (LBLOCK)  เป็นหนึ่งในคาสิโนคริปโตที่ดีที่สุดในตลาด พร้อมเสนอโบนัสต้อนรับที่ยอดเยี่ยม สมัครง่าย ให้บริการหลายพันเกม และมีสปอร์ตบุ๊ค

โดยจะใช้เวลาสมัครไม่ถึงนาทีและไม่ต้องยืนยัน KYC ซึ่งผู้เล่นใหม่จะมีสิทธิ์รับเงินฝากครั้งแรกที่ 200% (สูงสุด 5,000 EUR หรือเทียบเท่า) พร้อมฟรีสปิน 50 ครั้ง

ผู้เล่นสามารถเล่นเกมสล็อตมากกว่า 3,000 เกม รวมทั้งเดิมพันในตลาดก่อนเกมและระหว่างเล่นหลายพันรายการสำหรับพรีเมียร์ลีก เอ็นเอฟแอล เอ็นบีเอ มวย และเกมอีสปอร์ตชั้นนำ

Lucky Block ยังมีเกมคาสิโนแบบดั้งเดิม เช่น โป๊กเกอร์ รูเล็ต และแบล็คแจ็ค พร้อมทั้งดีลเลอร์สดและแบบเสมือนให้บริการ

พร้อมรองรับเหรียญคริปโตมากมาย – รวมถึง BTC, LTC, ETH และ DOGE โดยไม่มีค่าธรรมเนียมหรือข้อจำกัดในการฝากถอนใดๆ โอนไว และยังใช้เงินจริงเล่นได้อีกด้วย

LBLOCK จะถูกเผาทิ้ง 1% ทุกเดือนเพื่อลดอุปทานลง และอีกไม่นานจะกลายเป็นเหรียญที่มีโอกาสเติบโตสูงในปี 2023

ผู้เล่นบางคนจะต้องมี VPN เพื่อเข้าถึง Lucky Block Casino

ซื้อ Lucky Block ตอนนี้

เราจัดอันดับเหรียญคริปโตที่น่าจับตามองยังไง?

ปัจจัยและวิธีการจัดอันดับเหรียญคริปโตที่น่าจับตามองได้รับการอธิบายไว้ด้านล่าง:

การวัดความผันผวนของราคาเหรียญคริปโต

เรามาเริ่มกันที่วิธีการวัดความเสี่ยงเมื่อซื้อเหรียญคริปโต ความผันผวนของราคาเป็นตัวชี้วัดที่ควรคำนึง หากราคามีแนวโน้มที่จะแกว่งไปมาอย่างผิดปกติ คุณก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้น

ความผันผวนของราคาอาจทำให้นักลงทุนที่คุ้นเคยกับความสงบของตลาดหุ้นกลัว แม้ว่าความผันผวนอาจเพิ่มขึ้นในปีนี้เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อและการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของธนาคารกลาง

แต่หากนักลงทุนดูไปในระยะยาว เช่น สามปี อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนจะไม่น่ากลัวเท่าที่เห็นในแวบแรก หรือเนื่องจากการเล่นข่าวของสื่ออาจทำให้คุณเชื่อได้

เมื่อเวลาผ่านไป เหรียญคริปโตชั้นนำจำนวนมากจะมีความโดดเด่น และเราได้รีวิวเหรียญคริปโตที่น่าจับตามองบางส่วนในข้างต้น

การใช้ Sharpe Ratio เพื่อวิเคราะห์สินทรัพย์คริปโต

เราจะใช้เมตริกทางการเงินอย่าง Sharpe Ratio เพื่อวัดผลตอบแทนในอดีตต่อความเสี่ยงที่กำหนด ซึ่งแม้จะทำนายอนาคตไม่ได้ แต่ก็เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อเปรียบเทียบเหรียญต่างๆ และระหว่างเหรียญคริปโตกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ

ต่อไป เราต้องคำนึงโอกาสสำหรับรายได้ได้ในอนาคต ซึ่งถือว่ายากสำหรับกลุ่มสินทรัพย์แบบดั้งเดิม ไม่ต้องพูดถึงเหรียญคริปโตเลย

เหรียญคริปโตนั้นคล้ายกับธุรกิจ Tech Startup อื่นๆ

หลายๆ โปรเจกต์คริปโตมีรายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากหุ้นเทคโนโลยีของบริษัทน้องใหม่ที่กำลังสร้างผลิตภัณฑ์และเจาะตลาด

นักลงทุนต่างมองว่าเหรียญคริปโตและหุ้นเทคโนโลยีมีเหมือนกันมากขึ้นเรื่อยๆ หากความสัมพันธ์ของราคาระหว่างทั้งสองเชื่อมโยงกัน

เมื่อ Nasdaq เป็นขาขึ้นก็ส่งผลดีต่อตลาดคริปโตเช่นกัน โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาทั้งสองได้แสดงความสัมพันธ์เชิงบวกที่สูงมาก ซึ่งหมายความว่าราคาของทั้งสองสินทรัพย์เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน

ดังนั้นหากเราควรวิเคราะห์โปรเจกต์คริปโตในลักษณะเดียวกัน เทคโนโลยีและโอกาสในการรักษาส่วนแบ่งตลาดในอนาคตในตลาดทั้งหมดนั้นจึงเป็นกุญแจสำคัญ

การเลือกของเราจึงโน้มเอียงไปทาง Blockchain ที่กำลังแก้ปัญหาการปรับขนาด เช่น Solana รวมถึงเหรียญที่สร้างกำไรแล้ว เช่น โทเค็นกระดานเทรด เช่น BNB; ที่ใช้ประโยชน์จากความสามารถของเทคโนโลยี Blockchain เช่น AiDoge

เหรียญอื่นๆ เช่น Avalanche หรือเหรียญที่มีเทคโนโลยีที่ดีพร้อมเป็นผู้นำในตลาดที่มีแนวโน้มว่าจะพัฒนาอย่างมากในระยะใกล้ถึงกลาง เช่น Decentraland และเทคโนโลยี Metaverse ที่ขับเคลื่อนด้วย NFT

ยกเว้นตัวเลือกที่เราไม่ได้อธิบายไว้อย่าง Battle Infinity ซึ่งเคยเป็นเหรียญคริปโต Pre-sale ใหม่ โดยเราใช้ตัวคัดกรองเพื่อค้นหาเหรียญคริปโตที่มี Sharpe Ratio ที่ดีที่สุดในรอบ 3 ปี และเคยมีมูลค่าราคาตลาดกว่า 5 พันล้านดอลลาร์

อีกองค์ประกอบในการเลือกเหรียญคริปโตที่น่าจับตามองก็คือเรื่องภาวะโลกร้อน ด้วยอุณหภูมิโลกที่กลายเป็นข่าวพาดหัวข่าวและทุบสถิติโลกร้อน นักลงทุนบางคนก็เริ่มมองหาเหรียญคริปโตพลังงานในปี 2023

ดังนั้น Sharpe Ratio คืออะไร?

Sharpe Ratio ถูกคิดค้นโดยนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล William Sharpe ซึ่งเป็นการวัดผลตอบแทนตามความเสี่ยงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่กำหนด

Sharpe Ratio ถือว่าสินทรัพย์ที่ดีที่สุดคือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนสูง

การใช้ ​Sharpe Ratio เพื่อวัดผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงจากแนวคิดของนักวิเคราะห์คริปโตอย่าง Willy Woo  ได้แสดงให้เห็นว่าบิทคอยน์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์คริปโตที่เก่าแก่ที่สุด เอาชนะสินทรัพย์อื่นๆ ทั้งหมด รวมถึงหุ้นและพันธบัตรรัฐบาล

นี่เป็นตัวอย่างที่ดีว่าการลงทุนในเหรียญคริปโตหรือวิธีลงทุนในบิทคอยน์นั้น – จริงๆ แล้วไม่ได้เสี่ยงอย่างที่เขาว่ากันนั่นเอง

โดยผลตอบแทนจาก Bitcoin มีความเสี่ยงน้อยกว่าสินทรัพย์อื่นๆ เมื่อปรับตามความเสี่ยงในช่วงระยะเวลา 4 ปี

อัตราส่วนถูกกำหนดโดยการเปรียบเทียบผลตอบแทนจากสินทรัพย์หรือพอร์ตของสินทรัพย์กับผลตอบแทนจากสินทรัพย์ปลอดความเสี่ยง เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและหารด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทน:

Sharpe Ratio = (Rp – Rf) / σp

เรารันตัวเลขผ่านตัวคัดกรองคริปโต โดยเรียงลำดับตาม Sharpe Ratio ที่ดีที่สุดในรอบสามปี

ตัวเลข Sharpe Ratio ที่ดีคือ 1.00 ขึ้นไป โดย 2.0 ขึ้นไปถือว่าดีมาก

การกระจายผลตอบแทนที่ไม่สม่ำเสมอสามารถบิดเบือนผลลัพธ์ได้ ซึ่งบางทีอาจอธิบายถึงคะแนนที่ดีมากของ Solana เนื่องจากอายุการใช้งานที่สั้นลง แต่ด้วยเงื่อนไขนั้น ตารางของเราแสดงช่วง 2.46 (Solana) ถึง 1.46 (Crypto.com) ดังนั้นทั้งหมดจึงมี Sharpe Ratio ที่ดีหรือดีมากในช่วงสามปีที่ผ่านมา

ในตารางด้านบน มีโทเค็นกระดานเทรด 3 สกุล ซึ่งไม่น่าแปลกใจมากนักเพราะเป็นหนึ่งในกรณีการใช้งานที่ดีที่สุดในปัจจุบันของโทเค็นคริปโต – เพื่อลดค่าธรรมเนียมเมื่อใช้กระดานเทรด

บทสรุป

เสน่ห์ของการลงทุนในเหรียญคริปโตคือการกระจายความเสี่ยง – หากถามว่าเหรียญคริปโตที่น่าจับตามองคืออะไร เราก็ได้รีวิวเหรียญคริปโตทั้งใหม่และเก่า โดย WSM โทเค็นของแพลตฟอร์ม Wall Street Memes

เหรียญคริปโตนี้ใช้พลังของมีมเพื่อสร้างชุมชนขนาดใหญ่และมอบโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตลาดการเงิน ด้วยการระดมทุนมากกว่า 4 ล้านเหรียญในช่วงสองสัปดาห์แรกของการขายรอบพรีเซล โครงการนี้จึงเป็นหนึ่งในเหรียญคริปโตที่เติบโตเร็วที่สุดในตลาดในขณะนี้

ขณะนี้คุณสามารถซื้อ $WSM ได้ในราคา 0.0274 ดอลลาร์ก่อนที่ราคาจะเพิ่มขึ้นในช่วงพรีเซลล์ถัดไป แพลตฟอร์มนี้เปิดใช้งานการซื้อผ่าน USDT, ETH, BNB และบัตรเครดิต

Wall Street Memes (WSM) – เหรียญมีมใหม่ล่าสุด

ให้คะแนน

• คอมมูนิตี้ผู้ติดตามกว่า 1 ล้านคน
• เคยมีโปรเจกต์ NFT
• เปิดขายพรีเซลตอนนี้ – wallstreetmemes.com
• ระดมไปกว่า 300,000 USD ตอนวันเปิดตัว

ไปยังพรีเซล

แม้ว่าตลาดจะเปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง และมีโทเค็นนับพันในตลาด แต่การทำกำไรให้ได้สม่ำเสมอนั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่าย นี่คือเหตุผลที่เทรดเดอร์ที่ช่ำชองจะใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์และเครื่องมือเทรดคริปโตอัตโนมัติต่างๆ เพื่อช่วยให้นำหน้าตลาดได้นั่นเอง

ในบทความนี้เราจะอธิบายเกี่ยวกับ 8 เครื่องมือคริปโตที่ควรพิจารณาเพื่อทำกำไรสูงสุด

จัดอันดับ 8 เครื่องมือคริปโตเพื่อเพิ่มผลกำไร

แนะนำเครื่องมือคริปโตที่ดีที่สุดที่เราจะอธิบายในบทความนี้ ได้แก่:

1. Dash 2 Trade – เครื่องมือคริปโตที่ดีที่สุด ที่กำลังเปิดขายพรีเซลล์
2. CryptoSignals.org – สัญญาณซื้อขายคริปโตระดับมืออาชีพเพื่อการเทรดกึ่งอัตโนมัติ
3. TradingView – เครื่องมือดูกราฟคริปโตระดับสูง
4. 3Commas – สร้างบอทเทรดอัตโนมัติ
5. Copy Trade – เครื่องมือคริปโตอัตโนมัติเต็มรูปแบบเพื่อ Copy Trade เหล่านักเทรดมืออาชีพ
6. เลเวอเรจเหรียญคริปโต – ซื้อและขายเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ด้วยเลเวอเรจ
7. CoinMarketCap – เว็บไซต์สอนดูกราฟคริปโตมือใหม่ที่ดีที่สุด
8. Coin Market Manager – เครื่องมือคริปโตติดตามพอร์ตการลงทุนและการวิเคราะห์ขั้นสูง

นักเทรดหลายคนจะใช้ indicator คริปโตที่ดีที่สุดข้างต้นพร้อมๆ กัน ดังนั้น เราจะมาอธิบายเรื่องวิธีการทำงานของทุกๆ เครื่องมือคริปโตในส่วนถัดไป

ไปยัง Dash 2 Trade ตอนนี้

1. Dash 2 Trade – เครื่องมือคริปโตที่ดีที่สุด ที่กำลังเปิดขายพรีเซลล์

หากคุณสงสัยว่าจะเริ่มเทรดคริปโตที่ไหนดี เราขอแนะนำ Dash 2 Trade เทอร์มินัลการวิเคราะห์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา โดยเหรียญ D2T กำลังเปิดระดมทุนอยู่ในช่วงพรีเซลล์

โดยโปรเจกต์ตัวเต็มจะเป็นแดชบอร์ดการวิเคราะห์เหรียญคริปโตแบบ all in one ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการซื้อขายไปอีกระดับ ตัวอย่างเช่น Dash 2 Trade จะให้สัญญาณซื้อขายคริป crypto ที่ดีที่สุด โดยทีมนักวิเคราะห์ภายในบริษัท นอกเหนือไปจากการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์

เมื่อพบโอกาสในการซื้อขาย Dash 2 Trade จะส่งสัญญาณแจ้งให้ผู้ใช้ทราบถึงเหรียญคริปโตที่น่าลงทุน ทั้งยังแนะนำจุดทำกำไรและจุด stop loss ให้ผู้ใช้ Dash 2 Trade ลงทุนได้ในวิธีที่ไม่ต้องเสี่ยงมากนัก

Dash 2 Trade เป็นหนึ่งในเครื่องมือเทรดคริปโตพร้อมข้อมูลที่ทันสมัย อัลกอริทึมพื้นฐานจะสแกนและวิเคราะห์ตัวชี้วัดจำนวนมากตลอดเวลา รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Reddit, Telegram, และ Twitter

โดยเมื่อเหรียญ โปรเจกต์ หรือแคมเปญพรีเซลล์ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างและมีกระแสบวก Dash 2 Trade ก็จะส่งสัญญาณแจ้ง โดยเหรียญคริปโตน่าซื้อที่สุด ช่วงขาลงบางสกุลก็เป็นเหรียญที่กำลังเป็นกระแสบนโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ Dash 2 Trade จะสแกนเครือข่าย blokchain ยอดนิยม เช่น Bitcoin, Ethereum และ BNB อีกด้วย

ซึ่งเน้นที่การเคลื่อนไหวของวาฬที่อาจเกิดขึ้น การโอนเหรียญจากกระดานแลกเปลี่ยนไปยัง crypto wallet ส่วนตัวชี้วัดอื่นๆ ที่ผู้ใช้ Dash 2 Trade จะสามารถเข้าถึงได้อย่างราบรื่น ได้แก่ การลิสต์เหรียญใหม่บนกระดานเทรด เหรียญคริปโต ICO มาใหม่ และการให้คะแนนและข้อมูลระดับมืออาชีพเกี่ยวกับราคา ปริมาณการซื้อขาย ความลึกของตลาด และอื่นๆ

Dash 2 Trade จะเป็นหนึ่งในเครื่องมือคริปโตที่ดีที่สุดเพื่อซื้อขายอัตโนมัติ เนื่องจากผู้ใช้จะได้สร้างกลยุทธ์การซื้อขายก่อนที่จะนำไปทดสอบย้อนหลัง ซึ่งจะบ่งบอกถึงสภาพตลาดจริง แต่ผู้ใช้จะไม่ต้องรับความเสี่ยงในด้านการเงินใดๆ นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันซื้อขายที่ Dash 2 Trade พร้อมกับให้รางวัลเป็นประจำอีกด้วย

สำคัญคือ Dash 2 Trade ได้รับการสนับสนุนโดยโทเค็น D2T ในการเข้าถึงเครื่องมือเทรดคริปโตที่กล่าวถึงไปข้างต้น ผู้ใช้จะต้องเลือกแผนการสมัครสมาชิกรายเดือน ชำระค่าธรรมเนียมเป็น D2T ดังนั้นโทเค็น ERC20 นี้จึงมีประโยชน์ในการใช้งานจริง

ไม่เพียงแต่ Dash 2 Trade จะเป็นแพลตฟอร์มเครื่องมือคริปโตที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่โทเค็น D2T ยังช่วยให้พอร์ตการลงทุนเติบโตได้ยิ่งขึ้น โดยพรีเซลล์ Dash 2 Trade ระดมทุนไปแล้วกว่า 4 ล้านดอลลาร์ (ในเวลาเพียง 10 วัน) ซื้อได้ในราคาที่ถูกสำหรับนักเทรดคริปโตระยะสั้น

ในขณะที่เขียน โทเค็น D2T มีราคาที่ $0.05 ซึ่งอยู่ในรอบที่ 2 ของการพรีเซลล์ ในรอบถัดไปจะเพิ่มเป็น $0.0513 และ $0.0533 ตามลำดับจนกว่ารอบที่ 9 จะสิ้นสุด ซึ่งจะมีราคาอยู่ที่ 0.0662 ดอลลาร์ เราได้อธิบายวิธีซื้อ Dash 2 Trade ในช่วงพรีเซลล์เพิ่มเติมเอาไว้ในบทความดังกล่าว

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ D2T โปรดอ่านเอกสารข้อมูล Dash 2 Trade และเข้าร่วมกลุ่ม Telegram ซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 26,800 คนแล้ว

ไปยัง Dash 2 Trade ตอนนี้

2. CryptoSignals.org – สัญญาณซื้อขายคริปโตระดับมืออาชีพเพื่อการเทรดกึ่งอัตโนมัติ

CryptoSignals.org แพลตฟอร์มยอดนิยมที่เชี่ยวชาญเฉพาะในด้านสัญญาณซื้อขายคริปโต โดยสมาชิกจะได้รับคำแนะนำในการเทรดเหรียญที่จะซื้อหรือขาย จุดทำกำไร และจุด stop loss

CryptoSignals.org เป็นเครื่องมือดูกราฟคริปโตที่ดีที่สุดสำหรับการซื้อขายแบบกึ่งอัตโนมัติ นี่เป็นเพราะเมื่อได้รับสัญญาณ นักเทรดจะสามารถตรงไปยังกระดานเทรดคริปโตที่ต้องการและวางคำสั่งซื้อขายที่เครื่องมือแนะนำ

ตัวอย่างสัญญาณซื้อขายคริปโตบน CryptoSignals.org ได้แก่:

• เหรียญ – Ethereum
• คำสั่ง – ซื้อ
• จุดเข้า – $1,490
• จุดทำกำไร – $1,673
• จุดตั้ง Stop Loss – $1,329

จากตัวอย่างข้างต้น เทรดเดอร์จะมีจุดข้อมูลทั้งหมดที่ต้องการตามคำแนะนำของ CryptoSignals.org ซึ่งสามารถไปที่กระดานแลกเปลี่ยนและป้อนคำสั่งซื้อ Ethereum ที่ราคา $1,490

CryptoSignals.org มีแพ็คเกจพรีเมียมสี่แพ็คเกจนอกเหนือจากแผนแบบฟรี ซึ่งแบบฟรีนั้นจะให้สัญญาณคริปโตสามครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนแผนแบบพรีเมียมจะเพิ่มสัญญาณเป็น 2-3 ครั้งต่อวัน ด้วยเหตุนี้สมาชิกพรีเมียมจะไม่มีทางพลาดโอกาสในการซื้อขายนั่นเอง

แผนรายเดือนเริ่มต้นที่ 42 ปอนด์ และถ้าหากสมัครบริการเป็นเวลา 3 เดือนจะมีค่าใช้จ่ายเพียง 78 ปอนด์เท่านั้น ส่วนแผนแบบราย 6 เดือนและแบบรายปีมีราคา 114 ปอนด์และ 210 ปอนด์ตามลำดับ สัญญาณการซื้อขายคริปโต CryptoSignals.org ทั้งหมดจะถูกส่งผ่านกลุ่ม Telegram ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกกว่าหลายพันคน

ไปยัง CryptoSignals.org

3. TradingView – เครื่องมือดูกราฟคริปโตระดับสูง

สำหรับนักเทรดคริปโตรายวันเราก็ขอแนะนำ TradingView ซึ่งเป็นกระดานแลกเปลี่ยนที่นิยมมากที่สุดทั่วโลกรวมถึง Binanceที่ ได้ผสานรวมกับเครื่องมือ TradingView เข้ากับแดชบอร์ดกราฟราคา เนื่องจาก TradingView เป็นมาตรฐานขั้นสุดเมื่อพูดถึงข้อมูลการกำหนดราคาแบบเรียลไทม์

TradingView ยังมาพร้อมกับ indicator คริปโตมากมาย, heat maps, เครื่องมือ drawing tools, ตัวคัดกรอง และอื่นๆ และมีตลาดหลายพันแห่งที่รองรับเหรียญคริปโต หุ้น กองทุนรวมดัชนี และอีกมากมาย โดย TradingView จะดึงข้อมูลจากกระดานแลกเปลี่ยนและโบรกเกอร์ยอดนิยม และให้เทรดเดอร์ได้ปรับแต่งหน้าจอกราฟราคาได้อย่างเต็มที่

ซึ่งรวมถึงการวิเคราะห์ timeframe, การจดจำแท่งเทียน, indicator แสดงปริมาณ, และอื่นๆ ทั้งยังมี indicator ที่สร้างโดยคอมมิวนิตี้มากกว่า 100,000 ตัวและการสนับสนุนอย่างเต็มที่ในไพน์สคริปต์ TradingView ยังเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับตลาดคริปโตตลอดเวลา ซึ่งจะแจ้งเตือนบนอุปกรณ์มือถือและคอมพิวเตอร์ตามเงื่อนไขที่แตกต่างกัน 12 ข้อ

ตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์ต้องการรับการแจ้งเตือนเมื่อ RSI เหรียญ BTC/USD ต่ำกว่า 40 คุณก็สามารถตั้งค่าได้อย่างง่ายดาย ในแง่ของราคา TradingView ให้บริการกราฟราคา เครื่องมือ drawing tools, และ indicator ทางเทคนิคแบบฟรีๆ อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ที่ชำนาญอาจพิจารณาแผนแบบ Pro, Pro+ และแบบพรีเมียมที่มีราคา $14.95, $29.95 และ $59.95 ตามลำดับ

4. 3Commas – สร้างบอทเทรดอัตโนมัติ 

3Commas เป็นหนึ่งในเครื่องมือคริปโตที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ ผู้ใช้สามารถสร้างบอทซื้อขายของตนเองได้อย่างอิสระ ซึ่งจะทำงานในรูปแบบ ‘what-if’ ซึ่งหมายความว่าบอทจะเข้าหรือออกจากสถานะตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดเอาไว้

ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่านักเทรดต้องการซื้อ XRP ทุกครั้งที่ราคาลดลงต่ำกว่า 4% ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง เมื่อเงื่อนไข ‘if’ ในตัวอย่างนี้เกิดขึ้น (XRP ลดลง 4%) บอทอัตโนมัติจะเข้าซื้อเหรียญนั่นเอง แต่ 3Commas จะให้ความยืดหยุ่นมากกว่าตัวอย่างข้างต้นมาก เนื่องจากนักเทรดสามารถกำหนดเงื่อนไขได้หลายข้อ

อย่างไรก็ตาม 3Commas เหมาะอย่างยิ่งในการซื้อขายเหรียญคริปโตตลอดเวลาด้วยวิธีอัตโนมัติ ผู้ที่ไม่มีทักษะในการสร้างกลยุทธ์ของตนก็สามารถพิจารณาใช้หนึ่งในบอทที่ถูกสร้างเอาไว้ของ 3Commas ซึ่งรวมถึงบอท DCA (การลงทุนแบบสม่ำเสมอ) ที่จะซื้อเหรียญคริปโตที่เลือกเมื่อราคาลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด

3Commas มีแผนแบบฟรีสำหรับผู้ที่ต้องการทดลองใช้แพลตฟอร์ม อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จำกัดเพียงหนึ่งแค่การลงทุน DCA, ตัวเลือก, หรือบอท GIRD เท่านั้น และจะไม่รองรับการเทรดแบบจำลอง ส่วนแผนแบบโปร ซึ่งมีค่าใช้จ่าย $49.50 ต่อเดือน และชำระเงินได้แบบรายปี จะมีบอทไม่จำกัด เงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และการทดสอบย้อนกลับแบบเรียลไทม์

5. Copy Trading – เครื่องมือคริปโตอัตโนมัติเต็มรูปแบบเพื่อ Copy Trade เหล่านักเทรดมืออาชีพ  

หนึ่งในเครื่องมือคริปโตที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ถามว่าเทรดคริปโตเริ่มยังไงดีโดยไม่ต้องทำการศึกษาด้วยตนเองคือการ copy trade ซึ่งให้นักลงทุนสามารถคัดลอกนักลงทุนคริปโตที่ประสบความสำเร็จได้อย่างอิสระ ซึ่ง eToro เป็นแพลตฟอร์ม copy trading ที่ดีที่สุดโดยรวมในตลาด

eToro ไม่เพียงแค่ให้บริการ copy trade แบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบเท่านั้น แต่ยังรองรับอีกหลายสิบเหรียญคริปโตราคาถูกที่สุด, หุ้น, ETF, ฟอเร็กซ์, และอื่นๆ หลังจากเปิดบัญชีแล้ว ผู้ใช้ eToro จะสามารถเลือกเทรดเดอร์หลายพันรายที่ลงทะเบียนโปรแกรม copy trade ได้

เพื่อช่วยตัดสินใจ eToro ยังแสดงข้อมูลมากมาย เช่น เวลาการถือสถานะเฉลี่ยของเทรดเดอร์ สินทรัพย์และเหรียญคริปโตที่ต้องการ แฟ้มความเสี่ยง เงินขาดทุนสะสมสูงสุด และที่สำคัญที่สุดคือผลกำไรและขาดทุนแบบรายเดือนนับตั้งแต่เข้าร่วมแพลตฟอร์ม เพียงแค่ต้องลงทุนขั้นต่ำที่ $200 และเลือกนักเทรดที่ต้องการ copy trade เท่านั้น

นักลงทุนที่มีงบประมาณจำกัดจะชอบฟีเจอร์ copy trade บน eToro เนื่องจากเงื่อนไขจะเป็นไปตามสัดส่วนของขนาดการลงทุน ตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์จัดสรร 5% ของพอร์ตการลงทุนเพื่อเปิดสถานะซื้อ ETH/USD และผู้ใช้ eToro ลงทุนที่ $200 การซื้อขายจะถูกคัดลอกเป็น $10 โดยนักเทรดจำเป็นต้องชำระค่าธรรมเนียมของ eToro แต่จะไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในการใช้เครื่องมือ copy trade

6. เลเวอเรจเหรียญคริปโต – ซื้อและขายเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ด้วยเลเวอเรจ   

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ผู้เริ่มต้นเผชิญเมื่อทำการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลแบบเต็มเวลาคือการเข้าถึงเงินทุนในระดับที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการเทรดคริปโตรายวัน ซึ่งต้องเทรดบ่อยๆ แต่ได้กำไรน้อย นี่คือจุดที่เลเวอเรจเหรียญคริปโตเข้ามามีบทบาท

มีแพลตฟอร์มซื้อขายมากมายในตลาดที่ให้ผู้ใช้สามารถซื้อขายเหรียญคริปโตด้วยเงินมากกว่าที่มีในบัญชีของตน หรือที่เรียกว่าเป็นการซื้อขายแบบมาร์จิ้น ซึ่งหมายความว่านักเทรดจะสามารถเพิ่มขนาดของเงินที่ใช้ลงทุนของตนได้ เช่น สมมติว่านักเทรดมี $100 ในบัญชีของตน และพวกเขาสามารถใช้เลเวอเรจได้ที่อัตรา 1:100

ซึ่งหมายความว่าทุน $100 จะเปลี่ยนไปเป็น $10,000 นั่นเอง อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการใช้เลเวอเรจในระดับสูงจะเพิ่มโอกาสในการถูกชำระบัญชีหรือที่ภาษาบ้านๆ เรียกว่า ‘พอร์ตแตก’ ซึ่งหมายความว่านักเทรดจะถูกปิดสถานะโดยกระดานเทรดหรือโบรกเกอร์หากสูญเสียเงินทุนไปจำนวนหนึ่ง

ในด้านตัวเลือก เทรดเดอร์สามารถเข้าถึงเลเวอเรจ CFD (สัญญาการซื้อขายส่วนต่าง) ได้อย่างง่ายดาย ตราสารอนุพันธ์รับรองโดยโบรกเกอร์ CFD ที่ได้รับการควบคุม และตราสารจะติดตามมูลค่าตามเวลาจริงของคู่สกุลเงินดิจิตอลที่เลือก ส่วนแพลตฟอร์มอย่าง Bitmex ก็มีตลาดที่ให้เลเวจสูงแต่ไม่มีการกำกับดูแล

7. CoinMarketCap – เว็บไซต์สอนดูกราฟคริปโตมือใหม่ที่ดีที่สุด     

นักเทรดที่ตามหาเครื่องมือคริปโตที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่อาจพิจารณา CoinMarketCap ซึ่งมักถูกพิจารณาว่าเป็นมาตรฐานขั้นสุดเมื่อพูดถึงข้อมูลเหรียญคริปโต แม้ว่าจะมีทางเลือกขั้นสูงและแม่นยำกว่าอย่าง Dash 2 Trade ก็ตาม แต่ CoinMarketCap ก็เป็นเครื่องมือเทรดคริปโตที่เหมาะสมในการติดตามราคาตลาด

CoinMarketCap แสดงรายการเหรียญคริปโตมากกว่า 21,600 สกุลในขณะที่เขียน ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถติดตามราคาตลาดและแนวโน้มล่าสุดได้ เพราะ CoinMarketCap จะนำข้อมูลจากกระดานแลกเปลี่ยนหลายแห่งมาแสดง CoinMarketCap ยังให้นักเทรดสามารถพูดคุยกันผ่านฟีดโซเชียลอีกด้วย

นอกจากนี้ CoinMarketCap ยังมีประโยชน์ในการประเมินข้อมูลกระดานแลกเปลี่ยนในแง่ของปริมาณการซื้อขายและความลึกของตลาด โดยเครื่องมือเพิ่มเติมที่มีอยู่ใน CoinMarketCap ได้แก่ การแจ้งเตือน, กิจกรรมและกำหนดการเหรียญคริปโต ICO, การแจกเหรียญคริปโต, โปรเจกต์ blockchain ใหม่ๆ และศูนย์การเรียนรู้ CoinMarketCap ยังมีวิดีโอและบทความเพื่อการศึกษาอีกด้วย

8. Coin Market Manager – เครื่องมือคริปโตติดตามพอร์ตการลงทุนและการวิเคราะห์ขั้นสูง       

Coin Market Manager เป็นหนึ่งในเครื่องมือคริปโตที่ดีที่สุดสำหรับการติดตามพอร์ตการลงทุนแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรเพื่อติดตามการประเมินมูลค่าพอร์ตในกระดานแลกเปลี่ยนมากมาย ทั้งทางออนไลน์หรือผ่านแอพ ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเหรียญคริปโตในหลายๆ แพลตฟอร์มและต้องการดูสถานะโดยรวมภายในที่เดียว

ไม่เพียงเท่านั้น Coin Market Manager ยังมีข้อมูลเชิงลึกขั้นสูงเกี่ยวกับพอร์ตการลงทุนและสถานะการซื้อขายในอดีตอีกด้วย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถประเมินได้ว่ากลยุทธ์และการลงทุนใดที่ใช้ได้ผลและกลยุทธ์ใดที่ใช้ไม่ได้ผล โดยมีสามแผนให้เลือก แผนฟรีจะมาพร้อมกับภาพรวมพอร์ตการลงทุนแบบพื้นฐาน หนึ่งบัญชีต่อหนึ่งกระดานแลกเปลี่ยน และสมุดรายวันการซื้อขายแบบกำหนดเอง

แผนแบบฟรีนั้นค่อนข้างธรรมดา ดังนั้นผู้ใช้อาจพิจารณาอัปเกรดเป็นแผนระดับมืออาชีพและระดับองค์กรซึ่งมีราคาที่ 69.99 ดอลลาร์และ 89.99 ดอลลาร์ต่อเดือนตามลำดับ ซึ่งมีฟีเจอร์และเครื่องมือขั้นสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังมีการทดลองใช้งานฟรี 14 วันสำหรับลูกค้าที่ซื้อเป็นครั้งแรกอีกด้วย

เหตุผลที่ต้องใช้แอพวิเคราะห์กราฟคริปโตคืออะไร?

แม้จะมีนักลงทุนบางรายที่สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างสม่ำเสมอในตลาดคริปโต แต่ส่วนใหญ่กลับล้มเหลวในการทำเช่นนี้ และหนึ่งในเหตุผลสำคัญก็คือนักเทรดที่ไม่ประสบความสำเร็จนั้นไม่มีเครื่องมือคริปโตที่ใช้ในการตัดสินใจซื้อขายให้ประสบความสำเร็จ และที่สำคัญที่สุดคือการตัดสินใจถึงความเสี่ยงในการซื้อขาย

ในวิธีเทรดคริปโต นักลงทุนต้องคาดการณ์อนาคตในการเทรด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มมูลค่าของ Bitcoin หรือ XRP ที่แตะจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 52 สัปดาห์ นักเทรดจะต้องคาดเดาทิศทางในอนาคตเหรียญคริปโต ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยหากขาดเครื่องมือคริปโต

• สิ่งที่สำคัญคือกราฟราคา ซึ่งนักเทรดสามารถประเมินแนวโน้มในอดีตและดูว่ากราฟจะกระตุ้นการซื้อขายในอนาคตได้อย่างไร
• แต่การดูกราฟราคาอย่างเดียวคงไม่พอ
• ในทางตรงกันข้าม เทรดเดอร์ที่ช่ำชองจะใช้ indicator บอกจุดเข้าซื้อคริปโต เช่น RSI และ Fibonacci Retracement เพิ่มเติม

ผู้ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิธีวิเคราะห์กราฟราคาหรือวิธีใช้ indicator อาจพิจารณาใช้สัญญาณซื้อขายคริปโต เพื่อให้นักลงทุนซื้อขายแบบกึ่งอัตโนมัติ เพราะสัญญาณจะแนะนำสถานะเข้าซื้อที่เหมาะสมตามการศึกษาและการวิเคราะห์เครื่องมือนั้นๆ

ยิ่งไปกว่านั้น มือใหม่อาจพิจารณาใช้เว็บไซต์สอนดูกราฟคริปโตมือใหม่ ซึ่งจะอ้างอิงกับเหตุการณ์ข่าวสารที่อาจมีผลกระทบโดยตรงต่อราคาเหรียญคริปโต นักลงทุนทุกคนจึงต้องใช้เครื่องมือคริปโตที่หลากหลายเพื่อทำผลกำไรสูงสุด

ประเภทเครื่องมือเทรดคริปโตและข้อดีคืออะไร?

เมื่อเข้าสู่ตลาดการซื้อขายคริปโตเป็นครั้งแรก ก็ควรมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเครื่องมือและ indicator คริปโตประเภทต่างๆ

ด้วยเหตุนี้เราจึงจะมาอธิบายถึงเครื่องมือคริปโตที่ดีที่สุดในขณะนี้

บอทคริปโต

วิธีการซื้อขายอัตโนมัตินี้ช่วยให้นักลงทุนป้อนคำสั่งซื้อและคำสั่งขายได้โดยอัตโนมัติ บอทคริปโตนั้นจะแตกต่างกัน โดยบางตัวก็มีความน่าเชื่อถือมากกว่าตัวอื่น

• เช่น มีแพลตฟอร์มเทรดคริปโตอัตโนมัติมากมายในตลาด ที่เป็นซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้สามารถใช้ซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง
• แม้อาจจะฟังดูน่าสนใจ แต่ก็ไม่มีการรับประกันว่าบอทจะทำเงินได้
• นอกจากนี้ผู้ใช้ควรถามตัวเองด้วยว่าทำไมผู้ให้บริการบอทจึงต้องแบ่งปันบอทที่ทำกำไรได้สูงให้กับสาธารณะ

โดยตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าคือการใช้งานแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้อย่าง Dash 2 Trade ที่ให้นักเทรดได้สร้างบอทของตนเอง

หมายความว่านักเทรดจะตั้งค่าพารามิเตอร์ของตนเองตามตัวชี้วัด เช่น ราคา แนวโน้ม ปริมาณ และความผันผวน และบอทจะซื้อเหรียญคริปโตเมื่อราคาเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดเอาไว้

Dash 2 Trade ยังมีการทดสอบแบบย้อนหลังที่ปราศจากความเสี่ยงเพื่อประเมินว่าบอททำงานอย่างไรในสภาวะตลาดจริง

กราฟ

นักเทรดคริปโตที่ประสบความสำเร็จจะใช้กราฟราคาที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน เพื่อให้ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดว่าทิศทางราคาเหรียญคริปโตจะเป็นอย่างไรทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง

ข้อมูลบนกราฟจะต้องใช้ร่วมกันกับ indicator ที่นิยมใช้คริปโต ซึ่งมีมากมาย โดย indicator แต่ละตัวจะเน้นไปที่แนวโน้มราคาที่แตกต่างกัน

เช่น เราได้ระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่า RSI เป็นหนึ่งในเครื่องมือคริปโตที่ดีที่สุดเพื่อประเมินว่าเหรียญคริปโตนั้นอาจมีการซื้อหรือขายมากเกินไปหรือไม่

การวิเคราะห์

การวิเคราะห์คริปโตเป็นข้อมูลสำคัญนอกเหนือจากเรื่องกราฟราคา

เช่น Dash 2 Trade จะให้ผู้ใช้ใช้งานตัวชี้วัดโซเชียลมีเดีย ซึ่งสามารถช่วยระบุเหรียญที่ได้รับความนิยมใน Pantip และTelegram ทั้งยังมีตัวชี้วัดบนเชน ซึ่งสามารถช่วยระบุการซื้อขายเหรียญคริปโตของวาฬได้

สัญญาณ

สัญญาณการซื้อขายคริปโตอาจเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มผลกำไรจากเหรียญคริปโต ซึ่งจะแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่าควรวางคำสั่งซื้อขายเมื่อไหร่

เช่น สัญญาณ Dash 2 Trade อาจแนะนำให้ซื้อ BNB ที่ $290 โดยมีคำสั่ง stop loss ที่ $270 และคำสั่งทำกำไรอาจอยู่ที่ $410

โดยผู้ใช้ Dash 2 Trade เพียงแค่ต้องวางคำสั่งซื้อที่แนะนำผ่านกระดานแลกเปลี่ยนคริปโตที่ต้องการ

เข้าถึงเครื่องมือซื้อขายคริปโต Dash 2 Trade อย่างไร?

เครื่องมือคริปโตที่ดีที่สุดข้างต้นสามารถเข้าถึงได้ผ่านแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ที่เดียวคือ Dash 2 Trade

แม้ว่า Dash 2 Trade จะยังอยู่ระหว่างการพัฒนา แต่โทเค็นหลักอย่าง D2T ก็ได้เปิดให้ซื้อในช่วงพรีเซลล์แล้ว ซึ่งระดมทุนได้มากกว่า 4 ล้านเหรียญในเวลาเพียงแค่ 10 วัน

ดังนั้น เราจะมาอธิบายขั้นตอนการลงทุนซื้อ Dash 2 Trade ในราคาพรีเซลล์ตอนนี้

ขั้นตอนที่ 1: ติดตั้ง MetaMask Wallet

นักลงทุน Dash 2 Trade ทุกคนต้องติดตั้ง crypto wallet เพื่อเข้าถึงพรีเซลล์ ส่วนผู้ที่มีกระเป๋าเงินที่รองรับ Ethereum อยู่แล้ว ก็สามารถดำเนินการขั้นตอนต่อไปได้

หนึ่งใน crypto wallet ที่ดีที่สุดคือ MetaMask เพราะไม่เพียงแต่จะมีชื่อเสียงด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือเท่านั้น แต่ยังใช้งานง่ายอีกด้วย

ไปยังเว็บไซต์ MetaMask และคลิกที่ปุ่ม ‘Download’ และเลือกส่วนขยายเบราว์เซอร์ (Chrome, Firefox, Brave หรือ Edge) หรือแอพมือถือ (Android หรือ iOS)

เปิดกระเป๋าเงินและตั้งรหัสผ่าน จดรหัสสำรอง 12 คำเพื่อทำให้การติดตั้ง MetaMask เสร็จสมบูรณ์

ขั้นตอนที่ 2: ซื้อ Ethereum หรือ Tether 

Dash 2 Trade รองรับ Ethereum หรือ Tether ในช่วงพรีเซลล์ โดยหากคุณมีโทเค็นดังกล่าวแล้ว ก็สามารถดำเนินการขั้นตอนถัดไปได้

มือใหม่สามารถซื้อ Ethereum หรือ Tether ผ่านกระดานแลกเปลี่ยนคริปโต เช่น Binance, FTX, OKX และอื่นๆ ที่รองรับบัตรเดบิตเมื่อทำการฝากเงิน

ขั้นตอนที่ 3: โอน Ethereum หรือ Tether ไปยัง MetaMask 

ถัดไป โทเค็น Ethereum หรือ Tether จะต้องถูกโอนไปยังกระเป๋าเงิน MetaMask ที่สร้างขึ้นมาใหม่

ขั้นแรก เปิด MetaMask และคัดลอกที่อยู่กระเป๋าเงินด้านล่าง ‘Account 1’

จากนั้น โอนเหรียญไปยังที่อยู่ดังกล่าวจากกระดานแลกเปลี่ยนหรือกระเป๋าเงินที่มี Ethereum/Tether อยู่

ขั้นตอนที่ 4: เชื่อมต่อ MetaMask กับพรีเซลล์ Dash 2 Trade

เมื่อกระเป๋าเงิน MetaMask มีเหรียญ Ethereum หรือ Tether แล้ว ขั้นตอนถัดไปคือไปที่พรีเซลล์ Dash 2 Trade

จากนั้นคลิกที่ ‘Connect Wallet’ เลือก MetaMask จากนั้นจะมีการแจ้งเตือนปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นการการยืนยันว่า MetaMask พร้อมเชื่อมต่อกับ Dash 2 Trade แล้ว

ยืนยันการเชื่อมต่อเพื่อดำเนินการขั้นตอนสุดท้าย

ขั้นตอนที่ 5: ป้อนจำนวนและซื้อโทเค็น D2T

หลังจากเชื่อมต่อ MetaMask กับ Dash 2 Trade แล้ว นักลงทุนจะต้องเลือกสกุลเงินที่ต้องการชำระ (Ethereum หรือ Tether) ขึ้นอยู่กับว่ามีโทเค็นใดอยู่ในกระเป๋าเงิน MetaMask

หลังจากนั้น ระบุจำนวนโทเค็น D2T ที่ต้องการซื้อ โดยให้ยืนยันการลงทุนพรีเซลล์ผ่าน MetaMask เพื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ และสามารถรับโทเค็น D2T ได้หลังจากสิ้นสุดพรีเซลล์

บทสรุป

การใช้งานเครื่องมือคริปโตที่หลากหลายเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำหน้าตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ โดยเครื่องมือเทรดคริปโตที่ดีที่สุดที่กล่าวถึงในวันนี้ ได้แก่ สัญญาณ โซเชียลมีเดีย ตัวชี้วัด on-chain บอทอัตโนมัติ การทดสอบย้อนหลัง และข้อมูลราคาระดับมืออาชีพ

โดยเครื่องมือคริปโตดังกล่าวมีให้ใช้งานบน Dash 2 Trade ซึ่งนักลงทุนสามารถทำกำไรได้จากโปรเจกต์ในช่วงพรีเซลล์ตอนนี้ด้วยโทเค็น D2T

Dash 2 Trade – เหรียญคริปโตใหม่มาแรง

คะแนน

• ขายพรีเซลหมดเร็วๆนี้ – ระดมทุนไปแล้วกว่า 15.2 ล้าน USD
• พันธมิตรกับ Cointelegraph
• Solid Proof รองรับ และ CoinSniper ยืนยันแล้วเช่นกัน
• คอมมูนิตี้นักเทรดกว่า 70,000 คน
• ลิสบน Bitmart Changelly Gate.io LBank CEX

ไปยัง DASH 2 TRADE