อุตสาหกรรมการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) เป็นแหล่งรวมของวิธีการสร้างผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจใหม่ๆ จากการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองได้
นอกเหนือจาก staking และบัญชีดอกเบี้ยแล้ว คุณน่าจะต้องพิจารณาถึง DeFi Yield Farming ว่าเป็นอีกวิธีที่จะทำให้โทเค็นคริปโตสามารถสร้างรายได้ให้กับคุณ
ในคู่มือสำหรับผู้เริ่มต้นนี้เราจะอธิบายทุกสิ่งที่ควรรู้ว่า DeFi Yield Farming คืออะไร DeFi Yield Farming ที่ไหนดี รวมถึงสอนเกี่ยวกับ Yield Farming ทำเงินได้เท่าไหร่ Yield Farming VS Staking ต่างกันยังไง และความเสี่ยง DeFi Farming ที่คุณต้องพิจารณา
รายการแพลตฟอร์ม DeFi Yield Farming ที่ดีที่สุดในปี 2023
เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดจาก DeFi Yield Farming ก่อนอื่นคุณต้องเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมเสียก่อน
รายการแพลตฟอร์ม DeFi Yield Farming ที่ดีที่สุดในปี 2023 ได้แก่
- DeFi Swap – แพลตฟอร์ม DeFi Yield Farming โดยรวมที่ดีที่สุดในปี 2023
- Aqru – บัญชีดอกเบี้ยคริปโตที่ให้ผลตอบแทนจากการออมที่ยืดหยุ่น
ไปยังแพลตฟอร์ม DeFi Yield Farming ที่ดีที่สุด
แพลตฟอร์ม DeFi Yield Farming แต่ละแห่งจะแตกต่างกันไปในแง่ของผลตอบแทน เหรียญที่รองรับ และความปลอดภัย ดังนั้นโปรดอ่านรีวิวแพลตฟอร์มของเราเพิ่มเติม
DeFi Farming คืออะไร?
DeFi Farming หรือการฟาร์มเหรียญ คือเครื่องมือในแพลตฟอร์ม DeFi ที่ให้คุณสร้างดอกเบี้ยจากสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้ใช้งานของตัวเอง ซึ่งคล้ายกับแพลตฟอร์ม staking เหรียญคริปโตหรือบัญชีดอกเบี้ย เพราะวัตถุประสงค์หลักของคุณคือการสร้างผลตอบแทนต่อปี (APY) ในระดับสูงจากโทเค็นที่คุณเป็นเจ้าของ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้การฟาร์มเหรียญแตกต่างกันก็คือคุณจะต้องฝากโทเค็นคริปโตที่เป็นคู่เหรียญที่อยู่ในกระดานเทรด DEX เช่น สมมติว่าคุณสนใจที่จะได้รับผลตอบแทน 20% จากคู่เหรียญ ETH/USDT คุณก็ต้องฝากโทเค็นมูลค่ารวมที่เท่ากันกับ Ethereum (ETH) และ Tether (USDT) เพื่อให้ได้อัตรา APY ที่สูงสุด

ตัวอย่างเช่น คุณต้องฝาก ETH และ USDT ให้มีมูลค่า $1,000 เท่ากัน และในการทำเช่นนั้น ก็จะทำให้กระดานเทรดที่คุณฝากสามารถสร้างสภาพคล่องที่เพียงพอแก่ผู้ใช้ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือผู้ใช้จะสามารถสลับเหรียญระหว่าง ETH เป็น USDT ได้ทันทีและมีค่าสเปรดต่ำ ซึ่งก็ใช้สัญญาอัจฉริยะที่ดำเนินการแลกเปลี่ยนอัตโนมัตินั่นเอง
- ตอนนี้ถ้าผู้ใช้เลือกที่จะสลับโทเค็นเป็นคู่เหรียญที่คุณได้สร้างสภาพคล่องไว้ก็จะมีการเก็บค่าธรรมเนียม
- และคุณก็จะได้รับส่วนแบ่งของค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บไปนั่นเอง
- ตัวอย่างเช่น สมมติว่าถ้าฝากเงิน $2,000 และคุณเป็นเจ้าของ 2% ของกองสภาพคล่อง (liquidity pool) คู่เหรียญ ETH/USDT
- หากวันแรก pool ได้เก็บค่าธรรมเนียมไป $500 คุณก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่น $10
แม้แพลตฟอร์ม DeFi Yield Farming จะสามารถสร้าง passive income และให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงตามมาด้วยเช่นกัน
หลักๆ ก็คือ DeFi Farming มีความเสี่ยงจากการด้อยค่า (impairment risk) ซึ่งหมายถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสในการฝากเงินเข้า yield farming pool และยังมีความเสี่ยงของกระดานเทรด DEX เช่นเดียวกับสัญญาอัจฉริยะที่อาจทำงานผิดพลาดได้
Yield Farming DeFi ทำงานยังไง?
บริการในแพลตฟอร์ม Yield Farming DeFi อาจจะดูยุ่งยากไปบ้างในตอนแรก และด้วยเหตุนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอะไรทำงานอย่างไรก่อนเริ่มลงทุน
เราจะอธิบายรายละเอียดว่า DeFi Farming คืออะไรและทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการฟาร์มเหรียญ
คู่เหรียญ Yield Farming
อย่างแรกและสำคัญที่สุดที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า yield farming นั้นจะต้องมีการฝากสองโทเค็นเสมอ เนื่องจากคุณกำลังสร้างสภาพคล่องให้กับคู่เหรียญนั้นๆ
- ตัวอย่างเช่น สมมติว่ากระดานเทรด DEX ที่คุณเลือกสามารถให้คุณฝากโทเค็นที่ถูกลิสบน Binance Smart Chain
- โดยคู่เหรียญที่มีการเทรดมากที่สุดบนแพลตฟอร์มก็คือ DEFC/BNB
- ซึ่งหมายความว่าคุณต้องมีเหรียญ DeFi Coin (DEFC) และ Binance (BNB) เท่ากัน
อธิบายอย่างละเอียด:
- สมมติว่า 1 BNB เท่ากับ 1,000 DEFC
- ดังนั้น คุณจึงต้องฝาก 3 BNB และ 3,000 DEFC
โดย BNB และ DeFi Coin ที่ฝากไว้จะไม่เพิ่มหรือลดมูลค่าใดๆ ซึ่งเราจะอธิบายเพิ่มเติมในบทความ
กล่าวคือ DeFi Coin อาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 10% ในขณะที่ BNB อาจลดลง 5% และนี่ก็คือความเสี่ยงจากการด้อยค่านั่นเอง
ผลตอบแทนต่อปี DeFi
สิ่งถัดไปที่ต้องเข้าใจคือผลตอบแทนต่อปี (APY) สิ่งนี้ช่วยให้คุณรู้ว่าคุณจะทำเงินได้มากเพียงใดจากการสร้างสภาพคล่องของคู่เหรียญ Yield Farming DeFi ต่างๆ
ตัวอย่างเช่น ถ้าอัตรา APY อยู่ที่ 10% และคุณฝากเงินเหรียญคริปโตมูลค่า 1,000 ดอลลาร์ คุณก็จะได้ผลตอบแทน 100 ดอลลาร์ แต่ผลตอบแทนของคุณจะถูกจ่ายเป็นโทเค็นคริปโต

ดังนั้น หากคุณฝาก 1,000 ETH ที่ APY 10% คุณก็จะได้รับ 100 ETH
และที่สำคัญที่สุด สินทรัพย์ดิจิทัลที่คุณจะได้รับอาจไม่ใช่คู่โทเค็นที่คุณฝากไว้ใน liquidity pool
- ตัวอย่างเช่น เมื่อฝากใน PancakeSwap รางวัลของคุณอาจจะถูกจ่ายเป็น CAKE ซึ่งเป็นโทเค็นหลักแพลตฟอร์ม
- เมื่อใช้ Binance Earn คุณก็มักจะได้เหรียญ BNB
- และเมื่อใช้ DeFi Swap ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม DeFi Yield Farming โดยรวมที่ดีที่สุด รางวัลของคุณจะถูกจ่ายเป็น DEFC
ด้วยเหตุนี้ คุณต้องคำนึงถึงมูลค่าตลาดของโทเค็นที่เกี่ยวข้องด้วย ท้ายที่สุด มูลค่าของโทเค็นจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งอาจเป็นทั้งประโยชน์หรือผลเสียต่อการลงทุนของคุณ
DeFi Yield Farming ให้ผลตอบแทนยังไง?
หนึ่งในคำถามที่มือใหม่ DeFi ถามมากที่สุดก็คือแพลตฟอร์ม yield farming ให้ดอกเบี้ยยังไง? เพราะผลตอบแทนไม่ได้สร้างมาจากอากาศอย่างแน่นอน
- ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อคุณให้กู้โทเค็นใน farming pool ก็จะทำให้กระดานเทรดมีสภาพคล่องเพียงพอ
- หมายความว่าเทรดเดอร์สามารถใช้กระดานเทรดเพื่อแลกเปลี่ยนโทเค็นแบบ decentralized
- และในการทำเช่นนั้น เทรดเดอร์จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเล็กน้อยสำหรับการแลกเปลี่ยนในแต่ละธุรกรรม
โดยผลตอบแทนก็จะขึ้นอยู่กับสองปัจจัยหลักคือ:
- ส่วนแบ่งที่คุณมีใน liquidity pool
- และกระดานเทรดเก็บค่าธรรมเนียมได้เท่าไหร่
เพื่ออธิบายเพิ่มเติม เราจะยกตัวอย่างง่ายๆ:
- สมมติว่าคุณสร้างสภาพคล่องให้กับคู่เหรียญ BNB/BUSD
- คุณฝากโทเค็นทั้งสองเหรียญมูลค่า 1,000 ดอลลาร์ ดังนั้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะเท่ากับเงินดิจิทัลมูลค่า 2,000 ดอลลาร์
- โดยรวมแล้ว liquidity pool บนแพลตฟอร์ม DeFi ที่คุณเลือกมีสภาพคล่องที่มูลค่า $200,000
- ซึ่งหมายความว่าส่วนแบ่งใน liquidity pool นี้ก็คือ 1%
ตอนนี้เรารู้แล้วว่าส่วนแบ่งของคุณใน farming pool คือเท่าไหร่ เราก็จะสามารถคำนวณค่าธรรมเนียมที่คุณได้รับ:
- ในช่วงหนึ่งปี liquidity pool ของ BNB/BUSD เก็บค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่ 120,000 ดอลลาร์
- ซึ่งหมายความว่าส่วนแบ่ง 1% รวมค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่เก็บได้ก็จะคิดเป็น $1,200
- ถ้าลงทุน $2,000 ก็จะให้ผลตอบแทนถึง 66%
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องจำคือรางวัลของคุณจะจ่ายเป็นโทเค็นคริปโต ดังนั้น มูลค่าเงินของโทเค็นที่คุณได้รับจะขึ้นอยู่กับราคาในตลาด
แน่นอนว่าอีกหนึ่งวิธีในการรับมือกับความเสี่ยงจากความผันผวนของ DeFi Yield Farming คือการเลือกใช้คู่เหรียญที่มีมูลค่าคงที่ (stablecoin) แต่ก็อย่างที่เราเห็นล่าสุดว่าราคา TerraUSD ร่วงลง แม้เป็น stablecoin ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยง
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ yield farming เราแนะนำให้คุณทำความเข้าใจว่า Yield Farming VS Staking คืออะไร
DeFi Yield Farming ทำกำไรได้หรือไม่?
DeFi Yield Farming อาจเป็นวิธีที่สร้างผลกำไรได้สูงจากเหรียญคริปโตที่ไม่ได้ใช้งานของคุณ อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยหลายอย่างที่จะเป็นตัวกำหนดว่าการฟาร์มเหรียญนั้นทำกำไรยังไง
แม้ว่าแพลตฟอร์ม DeFi Yield Farming ชั้นนำจะให้อัตรา APY เป็นผลตอบแทน แต่ก็ไม่มีการรับประกันว่าจะทำกำไรได้ อย่างไรก็ตาม คุณก็มักจะพบว่าคู่เหรียญที่มีสภาพคล่องมากที่สุดจะให้ดอกเบี้ยน้อยที่สุด

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ BNB/BUSD บน Binance Smart Chain หรือ ETH/USDT บนเครือข่าย Ethereum แต่ถ้าหากคุณตัดสินใจที่จะเพิ่มสภาพคล่องให้กับโทเค็นใหม่และไร้สภาพคล่อง คุณอาจจะสามารถคาดหวังอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้
แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องของความเสี่ยงและผลตอบแทน นั่นก็เพราะคุณจะสามารถทำกำไรได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากผลขาดทุนจากการด้อยค่า (impairment loss)
ผลขาดทุนจากการด้อยค่าใน DeFi
แพลตฟอร์ม DeFi Farming บางแห่งจะบอกว่าการฟาร์มเหรียญมีผลขาดทุนจากการด้อยค่าอย่างชัดเจนนัก แต่จะเน้นไปที่การโฆษณาถึงผลตอบแทนที่คุณจะได้รับแทน
ผลขาดทุนจากการด้อยค่าหมายถึงความแตกต่างด้านลบระหว่างผลตอบแทนที่คุณได้รับจาก yield farming กับผลตอบแทนที่คุณอาจทำได้ถ้าถือเหรียญเอาไว้เฉยๆ
- ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณฝาก ETH และ USDT มูลค่า $500 ลงใน farming pool ซึ่งหมายความว่า ณ ตอนที่ฝากเงิน คุณมีเหรียญคริปโตมูลค่า $1,000
- หากเป็นโลกในอุดมคติ มูลค่าครึ่งๆ ที่ฝากนี้จะอยู่เท่าเดิมตลอดไป
- อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกลไกของตลาด liquidity pool นั้นไม่มีวันสมดุล เพราะว่าคู่เหรียญใดสักคู่จะมีค่ามากกว่าอีกคู่นั่นเอง
- เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นก็จะกระทบต่อผลตอบแทนของคุณ
ส่งผลให้ได้ผลตอบแทนที่คุณได้รับต่ำกว่าการแค่ถือโทเค็นของตัวเองเอาไว้เฉยๆ
DeFi Yield Farming | ถือโทเค็นไว้ในกระเป๋าเงิน | |
วันที่ 1 (วันที่ฝาก) | มูลค่ารวมของคู่เหรียญ: $2,000 | มูลค่ารวมของคู่เหรียญ: $2,000 |
วันที่ 30 (วันที่ถอน) | มูลค่ารวมของคู่เหรียญ: $2,000 | มูลค่ารวมของคู่เหรียญ: $2,000 |
ตารางข้างต้นเป็นตัวอย่างง่ายๆ ของผลขาดทุนจากการด้อยค่า ‘วันที่ 1’ ชี้ว่าเมื่อโทเค็นถูกฝากเข้า farming pool ก็จะมีมูลค่ารวม 2,000 ดอลลาร์
‘วันที่ 30’ แสดงให้เราเห็นว่ามูลค่ารวมของโทเค็นที่เราฝากเข้า farming pool ตอนนี้มีมูลค่า $2,500
แต่ถ้าถือโทเค็นไว้ในกระเป๋าเงินส่วนตัว คู่เหรียญก็จะมีมูลค่า 2,800 ดอลลาร์ ซึ่งขาดทุนที่ 300 ดอลลาร์ โดยทั่วไปเราจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นมูลค่าที่สูญเสียโอกาสไปชั่วคราว (impermanent loss) เนื่องจากมูลค่าโทเค็น DeFi ของคุณยังคงสามารถคืนสภาพได้เมื่อเวลาผ่านไปนั่นเอง
อัตราผลตอบแทนจาก DeFi Yield Farming
ตามที่ระบุไว้ในบทความ อัตราดอกเบี้ยและ APY จะแตกต่างกันไปตามปัจจัยหลายข้อ
ได้แก่:
- แพลตฟอร์ม DeFi เพราะบางแพลตฟอร์มก็ให้ผลตอบแทนดีกว่าที่อื่น
- โทเค็นที่คุณฝากเข้า pool เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีสภาพคล่องน้อยกว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า
- ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้โทเค็นคริปโตทั่วไปหรือเหรียญที่มีมูลค่าคงที่
ในท้ายที่สุด อัตราผลตอบแทนต่อปี DeFi Yield Farming อาจแตกต่างกันตั้งแต่สองสามเปอร์เซ็นต์ถึงเกิน 100% แต่โปรดจำไว้ว่ายิ่งให้ผลตอบแทนสูงเท่าไร คุณก็ยิ่งเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น
เหรียญ DeFi Yield Farming ที่ดีที่สุดคืออะไร?
การเลือกเหรียญ DeFi ที่ดีที่สุดเพื่อ yield farming นั้นมีหลายสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา
ได้แก่:
- มูลค่าตลาดของโทเค็นตั้งแต่เมื่อคุณฝากจนถึงวันที่คุณถอนเหรียญออก เพราะหากมูลค่าของโทเค็นเพิ่มขึ้น คุณจะได้รับกำไรเพิ่มเติมจากการฟาร์มเหรียญ
- ผลตอบแทนจากคู่เหรียญที่คุณต้องการสร้างสภาพคล่อง
- เครือข่าย blockchain ของเหรียญ
- แพลตฟอร์ม DeFi Yield Farming ที่รองรับเหรียญ
หากพิจารณาถึงปัจจัยที่กล่าวไปทั้งหมดแล้ว เราขอแนะนำเหรียญ DeFi โดยรวมที่ดีที่สุดดังนี้:
DeFi Coin (DEFC) – เหรียญ DeFi โดยรวมที่ดีที่สุดน่าฟาร์ม
DeFi Coin (DEFC) เป็นหัวใจของระบบการเงินแบบกระจายอำนาจ ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยกระดานเทรด DeFi Swap DEX ที่กำลังมาแรงเพื่อสร้างโอกาสในการสร้างรายได้อย่างเต็มรูปแบบ และหากคุณกังวลว่าจะฟาร์มเหรียญที่ไหนดี? ที่ DeFi Swap จะให้ผลตอบแทนสูงแก่คุณอย่างแน่นอน

โดย DeFi Coin จะให้รางวัลแก่ผู้ถือเหรียญในระยะยาวและไม่เป็นผลดีต่อนักเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดเนื่องจากต้องเสียภาษีจากการเทรดเหรียญ DeFi Coin ที่ 10% โดยครึ่งหนึ่งของภาษีนี้จะนำไปให้ผู้ถือ DeFi Coin ซึ่งหมายความว่านอกเหนือจากดอกเบี้ยของ yield farming แล้ว คุณก็ยังได้ส่วนแบ่งจากภาษีในระดับสูงอีกด้วย
BNB (BNB) – เหรียญ DeFi ยอดนิยมที่น่าฟาร์มบน Binance Smart Chain
BNB หรือ Binance Coin เป็นโทเค็นหลักของระบบนิเวศ Binance ซึ่งมีทั้งกระดานเทรดชั้นนำและ Binance Smart Chain
แพลตฟอร์มยังรองรับโทเค็นมากมายที่เป็นคู่เหรียญ BNB ซึ่งหมายความว่าถ้าถือโทเค็น BNB เอาไว้ก็จะเป็นโอกาสในการ yield farming นั่นเอง
Tether (USDT) – Stablecoin ที่มีสภาพคล่องและซื้อขายมากที่สุดในการ Yield Farming
Tether อยู่บน Ethereum blockchain และเป็น stablecoin ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแง่ของปริมาณและสภาพคล่อง ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า USDT เป็นเหรียญที่มีมูลค่าคงที่สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการความปลอดภัยจากตลาดที่มีความผันผวนสูง
หากคุณตัดสินใจที่จะ stake เหรียญบนเครือข่าย Ethereum คุณจะต้องฟาร์มเหรียญคู่กับ Tether ซึ่งจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
รีวิวแพลตฟอร์ม DeFi Yield Farming ที่ดีที่สุด
หากกังวลว่าจะใช้บริการจากแพลตฟอร์ม DeFi Farming ที่ไหนดี เราขอแนะนำแพลตฟอร์มดังนี้
แพลตฟอร์มที่ดีที่สุดควรมีชื่อเสียงในด้านความปลอดภัยและมีเหรียญที่รองรับให้เลือกมากมาย และแน่นอนว่าคุณจะต้องเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ให้ผลตอบแทนสูงและถอนเงินได้อย่างรวดเร็ว
โดยเราจะแนะนำคุณว่าควร Yield Farming ที่ไหนดีเพื่อสร้างผลกำไรจากเหรียญคริปโตที่ไม่ได้ใช้งาน
1.Defi Swap – แพลตฟอร์ม DeFi Yield Farming โดยรวมที่ดีที่สุดในปี 2023

DeFi Swap เป็นแพลตฟอร์มโดยรวมที่ดีที่สุดในการสร้างรายได้ด้วยวิธีลงทุนใน DeFi วันนี้ นี่คือแพลตฟอร์ม decentralized ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถใช้บริการทั้งหมดโดยไม่ต้องสร้างบัญชี ไม่จำเป็นต้องอัปโหลดเอกสาร KYC หรือแม้แต่ระบุชื่อของคุณเอง
เพียงแค่ต้องเชื่อมต่อกระเป๋าเงินของคุณกับเว็บไซต์ DeFi Swap ด้วยการไปยัง Deficoins.io เท่านั้น ซึ่งคุณจะสามารถเริ่มต้น yield farming ได้ทันที โดยโปรโตคอล DeFi Swap จะทำงานบน Binance Smart Chain และคุณจะสามารถเข้าถึง farming pools ได้หลากหลาย
เมื่อคุณเลือก pool และฝากโทเค็นตามจำนวนที่ต้องการแล้ว คุณจะมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมการซื้อขายใดๆ จากคู่เหรียญดังกล่าว ซึ่งสิ่งนี้ช่วยให้คุณสร้าง passive income ตราบใดที่โทเค็นของคุณถูกฝากเอาไว้

หากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะ stake เหรียญที่ไหนดี เราขอแนะนำให้ลองใช้ DeFi Swap เพราะมีเครื่องมือ staking ที่ยอดเยี่ยม โดยเมื่อ staking โทเค็น DeFi Coin (เหรียญหลักของแพลตฟอร์ม) คุณจะได้รับ APY สูงถึง 75% ซึ่งเป็นระยะเวลาการ staking ที่ 365 วัน โดยผลตอบแทนจะแตกต่างกันไปตามระยะเวลาที่เลือก
นอกจากนี้ DeFi Swap ยังให้คุณแลกเปลี่ยนโทเค็นเป็นโทเค็นอื่นได้ทันที สิ่งนี้ทำให้คุณไม่ต้องใช้กระดานเทรด CEX ซึ่งอาจทั้งยุ่งยากและทำงานช้า นอกจากนี้ DeFi Swap ก็กำลังจะเปิดตัวเปิดตัวแอพมือถือ iOS และ Android รวมถึง NFT marketplace อีกด้วย
ข้อดี
- แพลตฟอร์ม DeFi ที่ดีที่สุดโดยรวมในตลาด
- ให้ผลตอบแทนสูง
- รองรับ yield farming และ staking
- 100% decentralized ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสัญญาอัจฉริยะ
- กำลังจะมีตลาด NFT และแอพมือถือ
- ขับเคลื่อนด้วย DeFi Coin
ข้อเสีย
- ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างแบบแพลตฟอร์ม DeFi อื่นๆ
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ DeFi Swap
สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล
2. Aqru – บัญชีดอกเบี้ยคริปโตที่ให้ผลตอบแทนจากการออมที่ยืดหยุ่น
Aqru เป็นแพลตฟอร์ม DeFi ชั้นนำที่มีบัญชีดอกเบี้ยคริปโตที่ยืดหยุ่น ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถได้รับประโยชน์จากการเติบโตของ DeFi โดยไม่มีผลขาดทุนจากการด้อยค่า เพียงแค่ฝากโทเค็นลงในบัญชีที่คุณเลือก รับดอกเบี้ยทุกวัน และถอนได้ฟรีตลอดเวลา
ซึ่งทำได้ในเหรียญ Bitcoin, Ethereum หรือเหรียญมูลค่าคงที่ USDC และยังมี Maple Finance ที่ระยะเวลาล็อก 90 วัน แต่เหรียญคริปโตอื่นๆ จะไม่มีข้อกำหนดตายตัว
อีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบเกี่ยวกับ Aqru ก็คือเป็นแพลตฟอร์ม DeFi ที่รองรับสกุลเงินทั่วไป (fiat) ซึ่งหมายความว่าหากคุณไม่ได้ถือโทเค็นเอาไว้ คุณก็สามารถฝากเงินเข้าบัญชี Aqru ได้ด้วยบัตรเดบิต/เครดิต หรือการโอนเงินผ่านธนาคาร

จากนั้นคุณสามารถเลือกที่จะแปลงสกุลเงิน USD, EUR หรือ GBP เป็นโทเค็นที่ Aqru รองรับ และหากคุณต้องการถอนเงินสกุล fiat ก็จะไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ แต่ถ้าถอนเหรียญคริปโตก็จะมีค่าธรรมเนียม $20 เป็นโทเค็นที่ถอน
จากที่กล่าวมานั้นจะไม่มีการคิดค่าคอมมิชชั่นจากดอกเบี้ยที่โทเค็นของคุณสร้างขึ้น แต่ APY ที่คุณเห็นก็คืออัตราที่คุณจะได้รับจริงๆ หากคุณสนใจ Aqru ก็สามารถเปิดบัญชีได้ภายในไม่กี่นาที
โดยอัตรา APY อาจผันผวนขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด โปรดไปยัง Aqru เพื่อดูอัตราดอกเบี้ยล่าสุด และคุณก็สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มผ่านเบราว์เซอร์คอมพิวเตอร์หรือแอพมือถือบน iOS และ Android ได้เช่นกัน
ข้อดี
- รับ BTC, ETH, USDC หรือ Maple Finance
- ไม่มีระยะเวลาล็อกหรือข้อจำกัด
- ฝากเงินขั้นต่ำ ($100)
- ถอนเงินสกุล fiat ฟรี
ข้อเสีย
- ค่อนข้างใหม่ในตลาด
- ค่าธรรมเนียมถอนเหรียญคริปโต $2
สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล
ภาษีจาก DeFi Yield Farming
การเก็บภาษีในตลาดสกุลเงินดิจิทัลแบบดั้งเดิมนั้นค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว กล่าวคือหากคุณซื้อโทเค็นและขายมันโดยมีกำไรก็จะมีภาษีตามเขตอำนาจศาลที่คุณอยู่
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการเก็บภาษีจาก DeFi Yield Farming จะยังไม่ชัดเจนนัก นอกจากนี้ กฎหมายภาษีจะขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณอยู่ ภาษีที่อยู่อาศัย รายได้ต่อปี และตัวชี้วัดหลักอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นได้ทั่วไปก็คือดอกเบี้ยใดๆ ที่คุณสร้างจาก DeFi Yield Farming จะเป็นภาษีเงินได้ ซึ่งน่าจะขึ้นอยู่กับรายได้เพียงอย่างเดียว
- ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณฝาก 1 ETH และ 2,000 USDT ไว้ใน farming pool
- สามเดือนหลังจากฟาร์มเหรียญ คุณจะได้สร้างดอกเบี้ย 10% จากการถือเหรียญเอาไว้
- ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับดอกเบี้ย 0.1 ETH และ 200 USDT ซึ่งตามทฤษฎีแล้วจะต้องเสียภาษีเงินได้
อย่างไรก็ตาม เราขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองเกี่ยวกับเรื่องการเก็บภาษี DeFi
DeFi Yield Farming ปลอดภัยหรือไม่?
บริการ DeFi Yield Farming เปิดโอกาสให้คุณได้รับดอกเบี้ยมากกว่าที่คุณจะได้จากการฝากเงินไว้ในธนาคาร แต่ก็หมายความว่าคุณต้องรับความเสี่ยงเพิ่ม
ก่อนที่คุณจะลงทุนใน DeFi Yield Farming อย่าลืมพิจารณาความเสี่ยงที่เราระบุไว้ ดังนี้:
ความเสี่ยงของผลขาดทุนจากการด้อยค่า
ความเสี่ยงของผลขาดทุนจากการด้อยค่าคือต้นทุนค่าเสียโอกาสหากคุณสร้างรายได้ได้น้อยจาก yield farming pool กว่าผลตอบแทนที่คุณอาจได้รับถ้าถือเหรียญเอาไว้เฉยๆ
ตัวอย่างเช่น หากคุณทำกำไรได้ $300 จาก yield farming แต่โทเค็นมีมูลค่าเพิ่มขึ้น $500 ในช่วงเวลาเดียวกันก็จะทำให้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าเป็น $200
ความผันผวนและความเสี่ยงของราคา
คุณต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความผันผวนและราคาในตลาดด้วย นอกเสียจากว่าคุณจะฟาร์มเหรียญ stablecoin เนื่องจากเหรียญคริปโตจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นและลดลงได้ตลอดเวลา
ซึ่งหมายความว่าในขณะที่โทเค็นของคุณถูกล็อกไว้ใน farming pool มูลค่าตลาดของโทเค็นก็อาจลดลง หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นก็จะมีโอกาสที่คุณจะเสียเงินนั่นเอง
- ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณฝาก BNB มูลค่า $500 ต่อโทเค็นลงใน farming pool
- สามเดือนถัดมา คุณได้สร้างดอกเบี้ย 5%
- แต่มูลค่า BNB ก็ได้ลดลง 20%
- ดังนั้นแม้ว่าคุณจะได้รับดอกเบี้ย 5% แต่พอร์ตการลงทุน BNB โดยรวมของคุณจะมีมูลค่าต่ำกว่าเดิม
นี่คือเหตุผลที่คุณต้องพิจารณาถึงความน่าเชื่อถือของโทเค็นที่คุณต้องการฟาร์ม กล่าวอีกนัยหนึ่งคือแม้โทเค็นที่มีมูลค่าตลาดสูงอาจจะมีความผันผวนน้อย แต่โปรเจกต์ใหม่ๆ นั้นมีความเสี่ยงกว่ามากนั่นเอง
ความเสี่ยงของแพลตฟอร์ม
คุณต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงของแพลตฟอร์ม DeFi ด้วย เนื่องจากสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างผลตอบแทนก็คือคุณต้องฝากเหรียญลงใน liquidity pool ของแพลตฟอร์ม
และในการทำเช่นนั้น คุณจะต้องเชื่อมั่นว่าแพลตฟอร์มนั้นน่าเชื่อถือ เพราะหากคุณฝากเงินลงในแพลตฟอร์ม DeFi ที่น่าสงสัย โทเค็นของคุณอาจถูกขโมยไปได้
ความเสี่ยงของสัญญาอัจฉริยะ
สัญญาอัจฉริยะนั้นจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งหมายความว่าเมื่อสัญญาอัจฉริยะได้ดำเนินการธุรกรรม yield farming ของคุณแล้ว ก็จะไม่สามารถถูกแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขใดๆ ได้
อย่างไรก็ตาม เรามักได้ยินว่าสัญญาอัจฉริยะนั้นถูกออกแบบมาไม่ดีนัก หากเป็นเช่นนี้และมีคนพบข้อบกพร่องในสัญญาอัจฉริยะ พวกเขาอาจขโมยโทเค็นของคุณจากระยะไกลได้นั่นเอง
บทสรุป
โดยสรุป แพลตฟอร์ม DeFi Yield Farming จะให้โอกาสคุณในการสร้าง APY ในอัตราสูงจากเหรียญคริปโตของคุณ หากเป็นเช่นนี้ทำไมไม่นำเหรียญคริปโตที่ไม่ได้ใช้งานของคุณไปสร้างรายได้จากการฟาร์มเหรียญล่ะ?
หากคุณต้องการให้การสร้างกำไรจากการลงทุนของคุณ ให้พิจารณาเริ่มต้นใช้ DeFi Swap ตอนนี้ เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นแพลตฟอร์ม DEX เท่านั้น แต่ยังมีเครื่องมือ yield farming และ staking ที่ให้ผลตอบแทนสูง และคุณสามารถสลับโทเค็นได้ทันทีเพียงคลิกเดียว
นอกจากนี้ DeFi Swap ไม่ต้องการข้อมูลส่วนตัวจากคุณ แต่คุณสามารถเชื่อมต่อกระเป๋าเงินกับแพลตฟอร์มเพื่อเริ่มสร้างผลตอบแทนจากโทเค็นของคุณได้ทันที

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ DeFi Swap
สินทรัพย์คริปโตมีความผันผวนสูงและเป็นการลงทุนที่ไม่มีการกำกับดูแล